คุยกับ “เจษ เจษฎ์พิพัฒ” กับบทบาทใหม่ทูตโครงการ Adam's Love
Adam's Love คือ โครงการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความตระหนักถึงการป้องกัน การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และรณรงค์การตรวจเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในประเทศไทยและระดับภูมิภาค โดยให้ความรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่างๆ พร้อมให้คำปรึกษา ตลอดจนติดตามการรักษาในทุกระยะ
สำหรับปีนี้โครงการ Adam's Love ได้เลือกนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ “เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์” มารับตำแหน่งทูตโครงการ Adam's Love วันนี้ Sanook! Men มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงหนุ่มเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว
Adam's Love Global Foundation - ALGO
โดย เจษ เล่าให้เราฟังคร่าวๆ ว่า “เป้าหมายของโครงการ Adam's Love คือตั้งใจให้คนไทยเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่โรคที่เลวร้าย และคนที่ติดเชื้อก็ไม่ได้เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรืออะไรก็ตามที่คนเขาว่ากัน เพราะจริงๆ มันติดได้หลายทางมาก โรคนี้รักษาได้จากการตรวจให้ทันทวงที แต่ส่วนใหญ่มักจะอายถ้าจะไปตรวจเลือด กลัวว่าจะเจอ ไม่กล้าไปรักษา เราก็เลยจะเปลี่ยนความคิดของคนในจุดนี้”
พร้อมกันนี้ทางโครงการยังสนับสนุนการให้ตรวจเลือดฟรี เพราะหากพบว่าติดเชื้อจะได้เข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งยิ่งเร็ว ยิ่งดี เพราะทางโครงการจะแนะนำสถานพยาบาลพร้อมดูแลตลอดการรักษา โดยแบ่งแผนการรักษาเป็นแผนการเดินทาง7 ระดับ
ระดับที่ 1 การเข้าสู่โครงการ Adam's Love อาสาสมัครสามารถเข้าร่วมด้วยการแอดไลน์โครงการ จากนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่รับฟังปัญหา
ระดับที่ 2 รู้สิทธิการรักษาของตัวเอง ทางโครงการจะให้ความรู้ทุกขั้นตอนถึงสิทธิการรักษาของทุกๆ คน
ระดับที่ 3 การส่งต่อไปสู่การรักษา ทางโครงการจะช่วยหาสถานพยาบาล ขั้นตอนการติดต่อ ระยะเวลาการให้บริการ ตลอดจนแผนที่การเดินทางไปรักษา
ระดับที่ 4 หลังจากได้รับข้อมูลจาก 3 ระดับ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเริ่มรับยาต้านไวรัส ทุกคนต้องทำตามขั้นตอนตามสถานพยาบาลนั้นๆ ให้ครบถ้วนก่อนถึงจะสามารถรับยาได้
ระดับที่ 5 ส่งเสริมความสม่ำเสมอในการทานยา หลังจากได้รับยาแล้ว หัวใจสำคัญของการรักษาเอชไอวี คือ การมีวินัยกับการทานยา ทาง Adam's Love เห็นความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงมีบริการส่ง sms ฟรี เพื่อแจ้งเตือนให้ทานยาตรงเวลา
ระดับที่ 6 คงอยู่ในการรักษา จะมีบริการ sms แจ้งเตือนเพื่อไม่ให้พลาดนัดเลยสักครั้ง
ระดับที่ 7 ตอนนี้คุณสามารถกดเชื้อเอชไอวีได้สำเร็จ
ทั้งนี้ หนุ่มเจษ ยังบอกด้วยว่าโครงการอยากสนับสนุนให้คนไปตรวจก่อนอย่าไปกลัวว่าจะเจอเชื้อ เพราะหากคิดว่ามีสภาวะสุ่มเสี่ยงอยากให้ไปตรวจเลย ถ้าไม่ไปตรวจบางครั้งไปตรวจเจอที่หลังมันจะสายเกินไปที่จะรักษาให้หายได้
สำหรับความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน เจษ ก็มองเรื่องนี้ว่า “ในความเป็นมนุษย์มันไม่ได้มีถูกมีผิดในเรื่องของความรักอยู่แล้ว แต่ในส่วนของโรคติดต่อต่างๆ การป้องกันก็สำคัญเหมือนคู่รักทั่วไป สุดท้ายเราก็ต้องเคารพสิทธิของแต่ละคน”
