คุยกับ “กันต์ กันตถาวร” พิธีกรที่ฮอตที่สุดในนาทีนี้
อยู่ตัวแล้วหรือยังกับงานพิธีกร
ผมถือว่าเริ่มต้นได้ดีนะครับ ถ้านับจากการที่เริ่มต้นมาระยะเวลาก็น่าจะปีนิดๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้เชียวชาญอะไรขนาดนั้น เรียกว่าเป็น First Learner แล้วกัน จะเรียกว่าผมมาถูกจังหวะก็ได้ครับ แต่ที่ทุกๆ อย่างมันลงตัวไปหมดไม่ใช่ว่าเกิดจากผมเพียงคนเดียว มันรวมไปถึงทีมงานและทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงตัวกันหมด เพราะกว่าจะได้แต่ละรายการออกมาไม่ว่าจะเป็น I Can See Your Voice, แฟนพันธุ์แท้, The Mask Singer หรือ Bao Young Blood ทีมงานทำงานกันหนักมาก สมมติถ้าเปรียบผมเป็นพ่อครัวผมมีส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบแล้ว เหลือแต่ผมแค่ปรุงมันออกมาให้อร่อย โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องกังวลว่าหมูมันจะสดไหมหรือว่าน้ำมันจะร้อนแล้วหรือยัง ซึ่งถ้าเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คงจะเป็นแบบนั้น
ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่สำหรับบทบาทนี้
น่าจะราวๆ 6 หรือ 7 คะแนนครับ อย่างที่พูดไปผมรู้สึกว่าผมยังเป็น Beginner อยู่ เพียงแต่ด้วยหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมันประจวบเหมาะและมันก็ถูกจริตคุณผู้ชมทั้งประเทศเท่านั้นเอง และก็ยังไม่สามารถทำให้ดีที่สุดแบบที่กล้าให้คะแนนตัวเอง 10 เต็ม 10 ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ให้คะแนนเราก็ไม่ใช่ตัวเราเองอีกนั่นแหละ เพราะคนที่ให้คะแนนผมน่าจะเป็นคนดูมากกว่า
คิดว่าตอนนี้ถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วหรือยัง
อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ แต่ผมคิดว่าชีวิตมันก็มีการเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ ไม่มีใครที่อยู่จุดๆ เดิม ขนาดเวลากับอารมณ์ของเรามันยังเปลี่ยนได้เลย ผมว่ามันสามารถขึ้นลงได้ตลอดแล้วแต่ว่าเป้าหมายชีวิตของเขาอยู่ตรงไหน ผมเคยรู้สึกว่าตัวผมอยู่ในจุดที่รู้สึกว่าโอเคมาแล้วตอนที่เล่นละครตลอด 7 วันแบบไม่มีวันหยุด เคยรู้สึกว่างานแน่นแล้ว
แม่งโคตรเท่เลย ต่อพออยู่มาวันนึงผมก็รู้สึกว่าจุดๆ นั้นมันไม่ใช่จุดสูงสุดสำหรับผมอีกต่อไป อย่างที่ผมบอกว่ามันเปลี่ยนได้ตลอด ในเมื่อจุดหมายเราเปลี่ยนการเดินทางของเรามันก็จะเปลี่ยนไป ณ วันนี้ผมเริ่มทำงานพิธีกรมาปีกว่าๆ เพราะฉะนั้นจุดที่ผมอยากจะไปถึงตอนนี้ก็คือการเป็นพิธีกรที่ดี ทำให้ทีมงานที่ร่วมงานมีความสุข สามารถทำงานด้วยกันได้อย่างสบายใจและไว้ใจซึ่งกันและกัน ให้คนดูมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ คอนเทนต์ที่เราทำออกไปมีผลตอบรับที่ดี ผมอาจจะยังไม่สามารถคอนโทรลปัจจัยทั้งหมดได้ เลยยังไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าผมอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตได้เหมือนกัน
กันต์ กันตถาวรเป็นคนบ้างานไหม เคยบ้าได้แค่ไหน
เมื่อก่อนผมเป็นครับแต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เมื่อก่อนผมเคยทำงาน 7 วันติดกันเป็นเวลา 3 ปีติด ถ่ายละคร 3 เรื่อง และ ดูแลบริษัทอีก 5 บริษัท ถามว่าหาจุดสมดุลในตอนนั้นได้ไหม หาไม่ได้เลยครับ ผมบริหารเวลาไม่ได้เลย เพราะตอนนั้นผมคอนเซนเทรดอยู่กับการทำงาน และตั้งโจทย์ในตอนนั้นว่าต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพราะฉะนั้นผมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สามารถขึ้นไปสู่จุดนั้นให้ได้ ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้ ตอนที่เราเป็น Beginner อยู่ เวลาเพื่อนนักแสดงทักว่า “เฮ้ย… ทำอะไรอยู่บ้าง” ถ้าผมตอบว่าถ่ายละครอยู่ 3 เรื่องเหนื่อยมาก เรารู้สึกว่าเราอยากตอบอย่างนั้นบ้าง ซึ่งเราก็ทำได้ เพราะปกติดาราคนอื่นเขาถ่ายละครกันทีละ 2 เรื่อง ผมเป็นคนเดียวเลยที่เล่น 3 เรื่องในหนึ่งอาทิตย์ นอกจากที่ผมต้องเล่นละครแล้ว พอถึงคิวเบรกผมยังต้องหาเวลาคุยงาน, ตอบอีเมล์ และบริหารงานลูกน้องทั้งหมด 20 - 30 ชีวิตใน 5 บริษัทของผมที่ทำอยู่ด้วย
เป้าหมายสำเร็จไปกี่อย่างแล้วและเป้าหมายในปีนี้ล่ะได้วางเอาไว้ไหม
เมื่อก่อนเคยวางนะ ผมเคยนั่งลิสต์เป็นช็อตโน้ตเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้วอ่ะ เพราะรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนเราเริ่มสตาร์ทจากศูนย์ก็ต้องมีปัจจัย 4 ก่อน พอได้ครบก็จะเริ่มไปขวนขวายหาสิ่งอื่นๆ ที่มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ซึ่งตัวผมก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ไม่ได้บอกว่าตัวเองรวยมาก ไม่ได้บอกว่าตัวเองสามารถหยุดทำงานได้เลย แต่แค่รู้สึกว่าคำว่าพอเพียงของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ก่อนที่มันจะพอเพียงได้มันต้องมีเพียงพอก่อน ซึ่งผมมีเพียงพอแล้ว ความหมายของผมคือผมมีบ้านที่ผมอยากมี ไม่ใช่บ้านที่เรามีงบเท่านี้เราถึงซื้อได้ ผมมีรถที่ผมต้องใช้และผมมีรถในฝันของผม ผมมีน้องหมาที่ผมอยากเลี้ยง ที่ผมอยากมีก็ไม่ใช่อะไรที่เวอร์วังหรือฟุ้งเฟ้อ โซฟาไม่ใช่ตัวละ 5 ล้าน แต่เราแค่อยากได้โซฟาหนังดีๆ เป็นตัว L ที่สามารถยืดขาได้ ซึ่งถ้าถามว่าจุดหมายในปีนี้ผมต้องการอะไรมากขึ้น ผมต้องการมีความสุขมากขึ้นแค่นั้นเอง ผมไม่ได้อยากทำงาน 7 วัน ผมไม่ได้อยากเป็นพิธีกรที่มีรายการเยอะที่สุดในประเทศไทย ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าในทุกๆ สิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบมันต้องเกิดรอยยิ้มที่ตัวผมเองผู้ร่วมงาน คนใกล้ตัว และคนดูก่อน ผมถึงใช้พลังงานอย่างมากในการทำงานในแต่ละรายการ
ในรายการ The Mask Singer ในฐานะที่เป็นพิธีกรรู้สึกเซอร์ไพรส์กับหน้ากากไหนมากที่สุด
จริงๆ แล้วผมเซอร์ไพรส์กับทุกหน้ากากนะ เพราะผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าเขาคือใคร หลายคนอาจจะคิดว่าพิธีกรต้องรู้ก่อนแน่ๆ ไม่งั้นจะดำเนินรายการไม่ได้ เอาจริงๆ คือผมไม่รู้เลยสักคนจนกว่าเขาจะถอดหน้ากาก เพราะฉะนั้นมันคือการเซอร์ไพรส์ทุกครั้ง แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดก็จะมีไม่กี่คนอย่างก้อย - รัชวิน, เอมมี่ - มรกต, จ๊ะจ๋า พริมรตา มันเป็นเซอร์ไพรส์ที่ว่า เฮ้ย! เรารู้จักกันไงไม่บอกกูเลยเหรอ มันแบบจะเป็นอารมณ์ที่ว่าทำไมเราถึงจับไม่ได้วะ มันคาใจพอยืนข้างๆ ก็เหมือนคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก มันจะใช่หรือไม่ใช่วะ ด้วยท่าทางที่แต่ละคนก็จะมีแอคติ้งที่ต่างกัน คือมัน เหมือนการแสดงของเขาที่ทำให้เราเชื่อว่าเป็นอีกคนนึง คือเป็นการเซอร์ไพรส์ที่เรารู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
กันต์เคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากมีความสุขกับทุกพื้นที่ของตัวเอง แล้วตอนนี้ดัชนีความสุขอยู่ที่เท่าไหร่
ใครวัดล่ะ ถ้าผมวัดเองผมว่าผมก็มีความสุขแล้วนะ เพราะว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เท่ากันอยู่แล้ว เพียงแต่ ณ ตอนนี้นะครับ ความสุขของผมคือการอยู่ทุกพื้นที่ได้อย่างมีความสุข เมื่อก่อนความสุขของผมคือการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พอบรรลุแล้วแทนที่เราจะต้องแบบ เฮ้! เยี่ยม สุดยอด เราทำได้แล้ว แต่วันนั้นผมกลับไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย มันกลายเป็นแบบเออก็ได้แล้วไง แล้วยังไงต่อ? เพราะฉะนั้นวันนี้ของผมคือการบาลานซ์ชีวิตให้มีความสุขในทุกพื้นที่ ให้คนรอบตัวผมมีความสุข น้องหมาผมมีความสุข กินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ได้ พาคุณแฟนไปทานข้าวได้ ไปสังสรรค์กับเพื่อนได้ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าดัชนีความสุขของผมอยู่ที่เท่าไหร่ ณ วันนี้ผมให้ 10 ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าความสุขของผมมันจะเพิ่มเป็น 11 12 ได้หรือเปล่า กรอบดัชนีความสุขของผมอาจจะใหญ่ขึ้นหรือมันจะแผ่วงกว้างไปได้ขนาดไหน คือวันนี้ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมมี วันข้างหน้ากรอบความสุขของผมอาจจะเป็นการได้ช่วยเหลือผู้อื่น ไปทำมูลนิธิโน่นนี่นั่น ซึ่งแปลว่ากรอบความคิดและดัชนีความสุขผมใหญ่ขึ้น เพราะฉะนั้นเข็มความสุขที่จะดีดไปมันก็จะมีพื้นที่ให้ดีดมากขึ้น