14 เทคนิคจัดห้องทำงาน ให้มีลุ้นโบนัสทุกปี

14 เทคนิคจัดห้องทำงาน ให้มีลุ้นโบนัสทุกปี

14 เทคนิคจัดห้องทำงาน ให้มีลุ้นโบนัสทุกปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สถานที่ทำงาน มีผลอย่างยิ่งต่อการทำงาน เพราะมันจะมีส่วนต่อสมาธิ และความสามารถในการทำงาน ดังนั้นการออกแบบห้องทำงาน ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในออฟฟิศที่บ้าน หรือทำงานในองค์กรใหญ่ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้ และยังเคยมีการศึกษาและเก็บข้อมูลเรื่องสถานที่ทำงานของพนักงานและผลผลิตของธุรกิจ ก็พบว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ออฟฟิศที่ได้รับการออกแบบอย่างดี สภาพแวดล้อมดี มีแนวโน้มจะเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ แต่ทั้งนี้ ทางเจ้าของธุรกิจ มักจะไม่ให้ความสำคัญที่จะมาลงทุนในเรื่องของการตกแต่งออฟฟิศ แต่ไม่ว่าคุณจะทำงานในองค์กรขนาดไหน คุณก็สามารถจัดจุดที่ใช้ทำงานของตนเองเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้น ด้วยเทคนิคต่อไปนี้

1.แสง นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้มีสมาธิ และมีแรงผลักดันในการทำงาน ดังนั้นไฟจึงเป็นสิ่งแรกที่ควรจะต้องลงทุน แสงที่ไม่เหมาะสม ทำให้เหนื่อยล้า ปวดตา ปวดศีรษะ และทำให้หงุดหงิดรำคาญ ที่มืด ๆ ยังก่อให้เกิดความเครียดได้ด้วย ถ้าคุณทำงานในบริษัท อาจจะไม่สามารถไปควบคุม หรือจัดการอะไรกับไฟส่วนรวมได้ แต่สามารถหาของส่วนตัวไปใช้ได้ ก็ให้เลือกใช้ไฟที่ช่วยถนอมสายตา แต่ถ้าทำงานที่บ้าน ก็ให้เปิดประตูหน้าต่าง เพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ถ้าแสงไม่พอ หรือในวันที่เมฆครึ้ม แสงไม่เพียงพอ ก็เปิดโคมไฟช่วย

2.เก้าอี้และโต๊ะทำงาน เป็นสิ่งที่คนทำงานส่วนมาก ต้องนั่งอยู่ทั้งวัน ดังนั้น จึงต้องเป็นสิ่งที่เหมาะกับร่างกาย เพราะหากนั่งไม่สบายแล้ว คุณก็จะต้องขยับเปลี่ยนท่า ลุกไปมาเพื่อเปลี่ยนอิริยาบทให้หายเมื่อยอยู่ตลอด และนั่นก็ส่งผลต่อสมาธิในการทำงานเช่นกัน โต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่เหมาะ ควรมีองค์ประกอบดังนี้

-    ตาอยู่ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ ประมาณ 24-34 นิ้ว ส่วนบนสุดของจอภาพควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย

-    เมื่อนั่งลง เท้าควรจะวางที่พื้นได้อย่างสบาย ๆ

-    พนักพิงเก้าอี้ ต้องเหมาะสม นั่งแล้วกระดูกสันหลังต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ ไม่ทำให้ปวดหลัง

หากทำงานในบริษัท ก็ให้ลองขอเก้าอี้ที่ปรับได้ ใส่หมอนอิงที่หลังหากจำเป็น บริษัทส่วนมากใช้เก้าอี้ที่ปรับความสูงต่ำได้ และควรใช้คีย์บอร์ดแยก เพื่อให้สามารถวางมือได้ในระดับที่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นการทำงานที่บ้าน คุณก็ควรลงทุนกับเก้าอี้ทำงานเพิ่มสักหน่อย ใช้หมอนช่วยทั้งพิงหลัง ทั้งเสริมเก้าอี้ให้สูงและสบายขึ้น ปรับตำแน่งของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม และควรใช้คีย์บอร์ดแยกเช่นกัน

3.ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในห้องทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้บางคนจะบอกว่า ของรก ๆ นั้น ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่จริง ๆ แล้ว ของรกไม่ได้ช่วยเพิ่มผลผลิต เพราะทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน ถ้าหากทำงานในบริษัท คุณอาจจะไม่สามารถจัดการสภาพโดยรวมได้ แต่สำหรับจุดที่เป็นโต๊ะทำงานของตนเอง สามารถดูแลให้สะอาดเรียบร้อยได้ ใช้เวลาสัก 10 นาทีในช่วงเช้า เก็บของที่ไม่ใช้ จัดสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าที่ ไม่ให้มาเกะกะเวลางาน แต่ถ้าหากทำงานที่บ้าน คุณสามารถจัดการได้ ทั้งทำด้วยตัวเอง และจ้างแม่บ้าน หรืออาจจะกำหนดตารางเวลาในการทำความสะอาดและการจัดเก็บของขึ้นมาเป็นกิจวัตรเลย

4.สีของห้องทำงาน เนื่องจากสีที่อยู่รอบตัว มีผลกระทบต่ออารมณ์และการทำงานของสมอง ซึ่งส่งผลทั้งทางด้านร่างกายและอารมณ์ ดังนั้น การเลือกสีที่เหมาะ จึงส่งผลต่อความสามารถในการทำงานด้วย หากเป็นการทำงานในออฟฟิศ ให้นำสีที่เหมาะ ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ พวกโปสการ์ด นิตยสาร หรือแม้กระทั่งกล่องใส่ของที่เป็นสี ไปใช้ที่ทำงาน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและสมาธิให้กับตนเองได้ ส่วนการทำงานที่บ้านนั้น คุณสามารถกำหนดสีที่อยู่รอบตัวของคุณเองได้โดยอิสระ ทั้งสีของผนังห้อง สีของโต๊ะทำงาน หรือแขวนรูปภาพก็ได้เช่นกัน

5.อุณภูมิห้องที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน ห้องที่ไม่เย็นจนเกินไป ช่วยให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น คนที่ทำงานในบริษัท สามารถจะนำผ้าคลุมไหล่ หรือเสื้อกันหนาวไปใช้ได้ แต่หากทำงานที่บ้าน ก็ให้ดูฤดูกาล บางช่วง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดแอร์

6.กลิ่น ก็มีความสำคัญไม่ต่างจากสี เพราะกลิ่น มีผลต่ออารมณ์ จิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการทำงาน กลิ่นเหล่านี้ จะช่วยให้การทำงานได้ผลดีขึ้น

-    กลิ่นสน ทำให้ตื่นตัว

-    กลิ่นซินนามอน ช่วยเพิ่มสมาธิ

-    กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยให้ผ่อนคลาย

-    กลิ่นเปปเปอร์มินท์ ช่วยปรับอารมณ์

-    กลิ่นมะนาว ช่วยให้สดชื่น

สำนักงานส่วนมาก ไม่ชอบให้มีกลิ่น แต่คุณสามารถนำพวกน้ำมันหอมระเหย ใส่กระเป๋า หรือใส่ลิ้นชักไว้ได้ เมื่อไหร่ที่ต้องการกระตุ้น ปรับอารมณ์ ก็หยิบออกมาใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย แต่หากเป็นการทำงานที่บ้าน อาจจะลองใช้พวกเทียนหอม หรือวิธีการอื่น ก็สามารถทำได้โดยอิสระ

7.ระดับเสียงในที่ทำงาน จะขึ้นอยู่กับขนาดของทีมงานที่คุณร่วมงานด้วย และแน่นอนว่า เสียงรอบตัวเหล่านั้น ส่งผลต่อการทำงานเช่นกัน หากไม่เหมาะสม ก็รบกวนการทำงาน เพิ่มความเครียด ทำให้ผลงานลดลง หากทำงานในบริษัท อาจจะหาทางหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนได้จากการฟังเพลง ใส่หูฟัง แต่หากเป็นที่บ้าน เราสามารถปรับสภาพบรรยากาศรอบตัวภายในบ้านได้

8.คุณภาพของอากาศ ส่งผลอย่างยิ่งต่อสมาธิ และความคิด และหากคุณภาพอากาศในที่ทำงานไม่ดี ก็ส่งผลให้พนักงานป่วยด้วย หากทำงานในออฟฟิศก็ควรผลักดันให้มีการใช้เครื่องฟอกอากาศ เปิดหน้าต่างประตู เพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้าง หรืออาจจะหาต้นไม้บางชนิด ที่ช่วยกรองอากาศเสียและเพิ่มออกซิเจน ส่วนการทำงานที่บ้านนั้น เพียงเปิดประตูหน้าต่าง ให้อาการถ่ายเท เปลี่ยนไส้กรองเครื่องฟอกอากาศ รวมทั้งปลูกต้นไม้บางอย่างได้ด้วย

9.เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง การนั่งทำงานติดที่ทั้งวัน ไม่เป็นผลดี คุณอาจจะต้องลุกออกมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เพื่อให้พักสมอง การทำงานในออฟฟิศนั้น แน่นอนว่า จะมีสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย คุณอาจจะลุกออกจากโต๊ะ ไปที่ล๊อบบี้บ้าง ออกไปห้องครัวบ้าง หรือเข้าห้องประชุมบ้าง แต่การลุกไปไหนต่อไหน ก็ต้องทำความเข้าใจกับหัวหน้าก่อน ว่าคุณเพียงแต่ต้องการผ่อนคลาย ไม่ได้อู้งาน แต่ถ้าทำงานที่บ้าน อาจจะมีโซฟา หรืออาร์มแชร์ ที่นั่งสบายไว้ผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนรูปภาพ ของตกแต่งห้องบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรืออาจจะออกไปจิบกาแฟ หรือไปเดินเล่นในสวน ก็จะช่วยได้เช่นกัน

10.การจัดการเรื่องคน โดยปกติแล้ว นายจ้าง ก็ต้องวางแผน จัดการ เรื่องของลูกจ้าง จัดแบ่งหน้าที่ในการทำงานออกเป็นแผนก ๆ ไป แต่ทั้งนี้ มีการสำรวจพบว่า คนเราจะสามารถทำงานได้ดีกว่า ถ้าได้นั่งทำงานอยู่กับเพื่อน ๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน ในเรื่องของเป้าหมาย หรือพูดคุยกันเกี่ยวกับลูกค้า กรณีนี้ หากเป็นการทำงานในบริษัท อาจจะต้องขอให้นายจ้าง ทดลองจัดกลุ่มการนั่งทำงานดูใหม่ เพื่อดูผลงานเปรียบเทียบกับแบบเดิมก่อน แล้วจึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่หากเป็นการทำงานที่บ้านนั้น แน่นอนว่า หลาย ๆ คนทำคนเดียว แต่ก็สามารถหาเพื่อนพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นได้ได้จากการใช้โปรแกรมสนทนาออนไลน์

11.รวบรวมความคิด ในการทำงานนั้น บางครั้งคุณก็ได้ไอเดีย หรือความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา แม้ในช่วงที่งานกำลังยุ่งยาก บางคน ก็ไม่ได้ใส่ใจ และลืมมันไป น่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าคุณจะหาที่เก็บ หรือรวบรวมมันเอาไว้ ไม่ว่าจะทำงานที่บ้าน หรือที่บริษัท ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีเดียวกันคือ มีกระดาษโน้ตอยู่ใกล้มือ หรือมีไวท์บอร์ด จดบันทึกไว้ เมื่อใดที่มีเวลาว่าง ก็ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นดู

12.มีเครื่องดื่ม หรืออาหารที่ทำให้สดชื่น สมองและร่างกายต้องการสารอาหารที่ช่วยให้สดชื่น เมื่อท้องหิว การทำงานของสมองก็ติดขัดไปด้วย เช่นเดียวกับรถ หากขาดน้ำมันก็วิ่งไม่ได้ หากทำงานในออฟฟิศ ก็ควรมีของว่าง คุณอาจจะนำมาเองจากบ้าน แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกอาหารขยะ ของว่างที่เหมาะสม จะเป็นพวกถั่ว ผลไม้ โยเกิร์ตที่ไม่หวาน นอกจากนี้ บริษัทส่วนมากจะมีชา กาแฟ ไว้ให้พนักงาน หากไม่มี ก็นำมาเอง ส่วนการทำงานที่บ้านนั้น ก็อาจจะลดการที่ต้องเดินเข้าครัว เป็นการมีของว่าง น้ำดื่ม เครื่องชงกาแฟ ไว้ในห้องทำงานบ้าง

13.เพิ่มความเป็นธรรมชาติ เข้าไปในสถานที่ทำงาน หากเป็นการทำงานในออฟฟิศ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง หรือบรรยากาศรอบ ๆ ที่ทำงาน ไม่มีสวน ไม่มีต้นไม้เลย ก็ให้นำรูปภาพมาใช้แทน อาจจะเป็นรูปธรรมชาติ ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ก็ออกไปสูดอากาศข้างนอก ไปโดนแสงแดดบ้าง เพื่อให้สดชื่นขึ้น ก่อนที่จะกลับมานั่งทำงานต่อไป ส่วนการทำงานที่บ้านนั้น ก็สามารถทำวิธีเดียวกับการทำงานที่ออฟฟิศได้ และอาจจะเพิ่มเติมด้วยการหาต้นไม้เข้ามาปลูกก็ได้เช่นกัน

14.การจัดการกับระบบดิจิตอล ทุกวันนี้คนเราทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ สภาพแวดล้อมจึงกลายเป็นดิจิตอลไลฟ์ ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลงานที่ดี ซอฟต์แวร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาใช้งานก็ต้องมีความเหมาะสมเช่นกัน  การให้ความสำคัญ เลือกสรรแอพพลิเคชั่นมาใช้งาน จึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.lifehack.org

ภาพจาก www.istockphoto.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook