หากคุณรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือ Hybrid มานอกจากตื่นเต้นเรื่องการขับที่เงียบและประหยัดพลังงาน แต่รู้หรือไม่ว่ามีฟีเจอร์ลับอันนึงอยู่ที่เกียร์นั่นคือ เกียร์ B นั่นเอง แล้วเกียร์นี้ใช้งานเมื่อไหร่ดี และทำหน้าที่อะไร วันนี้ Sanook Auto มาเฉลยและเจาะลึกกับเกียร์นี้กัน
เกียร์ B ที่พบในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ย่อมาจากคำว่า "Brake" (ไม่ใช่ Break ที่แปลว่าแตก) ครับ เพราะรถที่มีการนำมอเตอร์ไฟฟ้ามักจะมีเกียร์เดียว การทำให้เวลาที่ขับไปข้างหน้าจะเร็วขึ้นอย่างเดียว แต่สำหรับหน้าที่ของ เกียร์ B คือ เกียร์ที่ใช้สำหรับหน่วงความเร็วของรถให้ช้าลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำงานคล้ายกับการใช้เกียร์ต่ำ (เช่น เกียร์ L, 2, 1) ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติทั่วไป
โดยปกติหน้าที่สำคัญของเกียร์ B มี 2 ประการหลัก ซึ่งทำงานควบคู่กันไป
การหน่วงความเร็ว (Engine/Motor Braking): เมื่อเข้าเกียร์ B แล้วยกเท้าออกจากคันเร่ง รถจะถูกหน่วงให้ช้าลงมากกว่าปกติในเกียร์ D (Drive) อย่างเห็นได้ชัด เพราะเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าจะสร้างแรงต้านการหมุนของล้อ ช่วยชะลอความเร็วรถโดยที่เราไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยๆ
การชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative Braking): นี่คือหัวใจสำคัญของเกียร์ B ในรถไฮบริดและรถไฟฟ้าครับ! ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังหน่วงความเร็วรถ มันจะทำหน้าที่เหมือน "เครื่องปั่นไฟ" (Generator) ไปในตัว โดยเปลี่ยนพลังงานจลน์ (พลังงานจากการเคลื่อนที่) ของรถให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วส่งกลับไปเก็บในแบตเตอรี่ ทำให้รถประหยัดพลังงานมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเข้าเกียร์ฺ B จะสังเกตว่ารถจะลดความเร็ว เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาสำหรับรถไฮบริต แต่ถ้ารถไฟฟ้าจะทำใการดึงรถให้เข้ามามากขึ้นนั่นเอง
เกียร์ B ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสถานการณ์เฉพาะ ไม่ใช่สำหรับการขับขี่ปกติบนทางเรียบ สถานการณ์ที่ควรใช้เกียร์ B ที่สุดคือ:
สำหรับคนที่กังวลเรื่องของการใช้งานเกียร์ B เราขอตอบคำถามคาใจดังนี้
ดังนั้นเท่ากับ เกียร์ B คือเกียร์หน่วงความเร็วเพื่อลดความเร็วลง ในการชาร์จไฟ เหมาะกับการมใช้ในทางลงเขาเพื่อทำให้รถลดความเร็วและได้ไฟมากขึ้นนั่นเอง แต่การมใข้งานไม่เหมาะกับบางสถานการณ์นะครับ ใครที่ใช้รถกลุ่มนี้ ลองศึกษาและใช้งานดูนะครับ