เฉลยแล้ว! เกียร์ B ในรถบางคัน คือเกียร์อะไร และใช้ตอนไหนถึงเหมาะ
Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
//s.isanook.com/au/0/ud/19/95827/what-s-b.jpgเฉลยแล้ว! เกียร์ B ในรถบางคัน คือเกียร์อะไร และใช้ตอนไหนถึงเหมาะ

เฉลยแล้ว! เกียร์ B ในรถบางคัน คือเกียร์อะไร และใช้ตอนไหนถึงเหมาะ

2025-06-26T12:22:54+07:00
แชร์เรื่องนี้

หากคุณรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือ Hybrid มานอกจากตื่นเต้นเรื่องการขับที่เงียบและประหยัดพลังงาน แต่รู้หรือไม่ว่ามีฟีเจอร์ลับอันนึงอยู่ที่เกียร์นั่นคือ เกียร์ B นั่นเอง แล้วเกียร์นี้ใช้งานเมื่อไหร่ดี และทำหน้าที่อะไร วันนี้ Sanook Auto มาเฉลยและเจาะลึกกับเกียร์นี้กัน

เกียร์ B คืออะไรกันแน่

เกียร์ B ที่พบในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ย่อมาจากคำว่า "Brake" (ไม่ใช่ Break ที่แปลว่าแตก) ครับ เพราะรถที่มีการนำมอเตอร์ไฟฟ้ามักจะมีเกียร์เดียว การทำให้เวลาที่ขับไปข้างหน้าจะเร็วขึ้นอย่างเดียว แต่สำหรับหน้าที่ของ เกียร์ B คือ เกียร์ที่ใช้สำหรับหน่วงความเร็วของรถให้ช้าลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำงานคล้ายกับการใช้เกียร์ต่ำ (เช่น เกียร์ L, 2, 1) ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติทั่วไป

batch_40644

หลักการทำงานเกียร์ B

โดยปกติหน้าที่สำคัญของเกียร์ B มี 2 ประการหลัก ซึ่งทำงานควบคู่กันไป

  1. การหน่วงความเร็ว (Engine/Motor Braking): เมื่อเข้าเกียร์ B แล้วยกเท้าออกจากคันเร่ง รถจะถูกหน่วงให้ช้าลงมากกว่าปกติในเกียร์ D (Drive) อย่างเห็นได้ชัด เพราะเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าจะสร้างแรงต้านการหมุนของล้อ ช่วยชะลอความเร็วรถโดยที่เราไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยๆ

  2. การชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative Braking): นี่คือหัวใจสำคัญของเกียร์ B ในรถไฮบริดและรถไฟฟ้าครับ! ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังหน่วงความเร็วรถ มันจะทำหน้าที่เหมือน "เครื่องปั่นไฟ" (Generator) ไปในตัว โดยเปลี่ยนพลังงานจลน์ (พลังงานจากการเคลื่อนที่) ของรถให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วส่งกลับไปเก็บในแบตเตอรี่ ทำให้รถประหยัดพลังงานมากขึ้น

ดังนั้นเมื่อเข้าเกียร์ฺ B จะสังเกตว่ารถจะลดความเร็ว เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาสำหรับรถไฮบริต แต่ถ้ารถไฟฟ้าจะทำใการดึงรถให้เข้ามามากขึ้นนั่นเอง 

yaris_cross_26

ควรใช้เกียร์ B เมื่อไหร่ ตอนไหน?

เกียร์ B ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสถานการณ์เฉพาะ ไม่ใช่สำหรับการขับขี่ปกติบนทางเรียบ สถานการณ์ที่ควรใช้เกียร์ B ที่สุดคือ:

  • ขณะขับรถลงทางลาดชันยาวๆ หรือลงเขา: นี่คือการใช้งานที่สำคัญที่สุด การใช้เกียร์ B จะช่วยหน่วงความเร็วของรถ ทำให้คุณไม่ต้องเหยียบเบรกแช่เป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วย ลดความร้อนสะสมที่ผ้าเบรกและจานเบรก ป้องกันอาการ "เบรกไหม้" หรือ "เบรกแตก" ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ แถมยังได้ไฟชาร์จกลับเข้าแบตเตอรี่เป็นของแถมด้วย
  • การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่น (Stop-and-Go): สามารถใช้เพื่อช่วยชะลอรถได้อย่างนุ่มนวล ลดการเหยียบเบรกโดยไม่จำเป็น และยังช่วยปั่นไฟเก็บเข้าแบตเตอรี่เล็กๆ น้อยๆ ได้ตลอดทาง
  • เมื่อต้องการชะลอความเร็วอย่างรวดเร็ว: เช่น เมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงข้างหน้าในระยะไกล สามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ B เพื่อช่วยชะลอความเร็วก่อนที่จะเหยียบเบรกจริง

เรื่องควรรู้เพิ่มเติม

สำหรับคนที่กังวลเรื่องของการใช้งานเกียร์ B เราขอตอบคำถามคาใจดังนี้

  • เปลี่ยนได้ทันทีหรือไม่? คุณสามารถผลักคันเกียร์จากตำแหน่ง D ไป B หรือจาก B กลับมา D ได้เลยในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ ไม่จำเป็นต้องจอดรถ
  • ไม่เหมาะกับทางเรียบ การขับขี่บนทางเรียบทั่วไปด้วยเกียร์ B จะทำให้รู้สึกรถถูกดึงๆ ตลอดเวลาที่ผ่อนคันเร่ง ทำให้การขับขี่ไม่นุ่มนวล และอาจสิ้นเปลืองพลังงานกว่าการใช้เกียร์ D ที่ปล่อยให้รถไหลไปได้เอง (Coasting)
  • เกียร์ B ไม่ใช่เกียร์ S (Sport) เกียร์ S ถูกออกแบบมาเพื่อลากรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นเพื่ออัตราเร่งที่ดีที่สุด ในขณะที่เกียร์ B เน้นการหน่วงความเร็วเป็นหลัก

ดังนั้นเท่ากับ เกียร์ B คือเกียร์หน่วงความเร็วเพื่อลดความเร็วลง ในการชาร์จไฟ เหมาะกับการมใช้ในทางลงเขาเพื่อทำให้รถลดความเร็วและได้ไฟมากขึ้นนั่นเอง แต่การมใข้งานไม่เหมาะกับบางสถานการณ์นะครับ ใครที่ใช้รถกลุ่มนี้ ลองศึกษาและใช้งานดูนะครับ