All-new Mitsubishi TRITON หล่อ เรียบหรู สมรรถนะจัดจ้าน ตอบโจทย์สายกระบะ
Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน) รถกระบะขนาด 1 ตันโมเดลสำคัญของมิตซูบิชิทั้งในประเทศไทยและตลาดโลก ซึ่งไทยได้รับเกียรติในการเปิดตัวแบบ World premiere ไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา
สำหรับ All-new Mitsubishi Triton โฉมใหม่ล่าสุด ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเจเนอเรชันที่ 6 แล้ว โดยถือเป็นการปรับแบบโมเดลเชนจ์ครั้งแรกในรอบ 9 ปี แถมยังมีแผนนำกลับไปวางจำหน่ายในประเทศบ้านเกิดที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีอีกต่างหาก (กำหนดการเปิดตัวที่ญี่ปุ่นจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2567 ที่จะถึงนี้)
ในระยะแรก มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ถูกเปิดตัวทั้งหมด 2 ตัวถัง คือ Single Cab และ Double Cab รวมทั้งสิ้น 8 รุ่นย่อย โดยมีราคาจำหน่ายแต่ละรุ่นย่อย ดังนี้
รุ่น Single Cab
- 2.4 PRO 4WD ราคา 699,000 บาท
- 2.4 PRO 4WD AT ราคา 749,000 บาท
รุ่น Double Cab ยกสูง
- PLUS 2.4 PRO ราคา 820,000 บาท
- PLUS 2.4 PRIME ราคา 893,000 บาท
- PLUS 2.4 PRIME AT ราคา 938,000 บาท
- PLUS 2.4 ULTRA ราคา 982,000 บาท
- PLUS 2.4 ULTRA AT ราคา 1,027,000 บาท
รุ่น Double Cab ขับเคลื่อนสี่ล้อ
- 2.4 PRIME 4WD ราคา 1,016,000 บาท
สำหรับรุ่นที่ Sanook Auto แนะนำในบทความนี้เป็นรุ่น Double Cab Plus 2.4 Ultra AT หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นตัวท็อปของรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งอันที่จริงจะว่าเป็นรุ่นท็อปสุดที่ถูกเปิดตัวในกลุ่มแรกนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากรุ่นขับสี่ล้อ 4WD ในปัจจุบันเป็นเพียงรุ่น Prime ที่อยู่ต่ำกว่า และมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 สปีดเท่านั้น
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของ มิตซูบิชิ ไทรทัน เจเนอเรชันที่ 6 ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด "Beast Mode" แสดงถึงความดุดันราวกับปลุกอสูรกายร้ายที่ซ่อนอยู่ออกมา โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่หมดจดทั้งคัน นับตั้งแต่แชสซีส์ โครงสร้างตัวถัง ไปจนถึงเครื่องยนต์
ในด้านโครงสร้างได้มีการออกแบบแชสซีส์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม ซึ่งมิตซูบิชิระบุว่าไม่ได้เป็นการนำเอาของเดิมมาพัฒนาต่อ หากแต่เป็นการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดจริงๆ พร้อมทั้งมีการใช้วัสดุเหล็กแบบ High-tensile steel ที่มีความแข็งแรงถึง 1180 MPa มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่งผลให้โครงสร้างสามารถทนรับแรงบิดได้มากกว่า ช่วยลดแรงสะเทือนจากพื้นถนน และเสริมการทำงานของระบบช่วงล่างได้ดียิ่งขึ้น
ดีไซน์ด้านหน้าของ Triton ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์แบบ Dynamic Shield แต่เพิ่มความเฉียบคมกว่ารุ่นก่อนหน้า โดดเด่นด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ชิดกับแนวฝากระโปรงด้านหน้า พร้อมชุดไฟหน้าแบบ LED ที่ออกแบบแยกต่างหากไว้บริเวณกันชน เพิ่มความหรูหราด้วยแถบโครเมียมขนาดใหญ่ พร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED รับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำที่ตกแต่งด้วยตัวอักษรคำว่า MITSUBISHI บริเวณขอบด้านบน
ขณะที่ด้านท้ายถูกออกแบบเน้นความเรียบง่าย ไม่หวือหวาเหมือนรุ่นที่ผ่านๆ มา ซึ่งผมเองมองว่าช่วยให้ตัวรถดูมีความภูมิฐานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อันที่จริงทุกครั้งที่มองไฟท้ายของ Triton ใหม่ ผมจะนึกถึงบั้นท้ายของ VW Amarok Gen 1 แทบทุกทีไป) เมื่อตกเวลากลางคืน ไฟท้ายแบบ LED จะส่องสว่างเป็นรูปตัว T ซึ่งถือเป็นแนวทางการออกแบบล่าสุดของมิตซูบิชิที่จะนำไปใช้กับรถรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกของรุ่น Double Cab Plus Ultra AT ก็มีให้แบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, บันไดข้างตกแต่งด้วยสีเงิน, กันชนหลังจากโรงงาน, มือเปิดประตูกระบะท้ายโครเมียม พร้อมระบบกุญแจล็อกกระบะท้าย และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R18
ภายใน
ห้องโดยสารเน้นตกแต่งด้วยโทนสีดำ ติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าขนาดใหญ่โอบรับกับสรีระได้ดี หุ้มด้วยวัสดุหนังสลับหนังสังเคราะห์สีดำ พร้อมระบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และดันหลังไฟฟ้าเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับพวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง ส่วนเบาะนั่งด้านหลังถูกออกแบบให้มีร่องเพื่อรองรับสรีระได้เช่นกัน มาพร้อมพนักพิงศีรษะจำนวน 3 ตำแหน่ง และที่วางแขนแบบพับได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
เบื้องหน้าของผู้ขับขี่ถูกติดตั้งหน้าจอ LCD ขนาด 7 นิ้ว ที่ถูกประกบด้วยมาตรวัดรอบและความเร็วแบบ Analogue สามารถแสดงผลได้อย่างละเอียดสวยงาม และปรับตั้งค่าการแสดงผลได้หลายรูปแบบ ผ่านปุ่มที่ติดตั้งไว้บริเวณฝั่งซ้ายของพวงมาลัย
ในรุ่น Ultra ยังถูกติดตั้งระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแบบ 2 โซน สามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาได้อย่างอิสระ ให้ความเย็นรวดเร็วทันใจ ขณะที่เหนือเพดานจะถูกติดตั้งระบบหมุนเวียนอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งก็คือ Blower ที่ดึงความเย็นจากด้านหน้าส่งไปยังด้านหลังนั่นเอง แม้ว่าความเย็นจะดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก
ด้านระบบอินโฟเทนเมนท์มีการติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว พร้อมปุ่มเมนูลัดเรียงรายอยู่บริเวณส่วนล่างของหน้าจอ ทำให้การเข้าถึงเมนูต่างๆ ทำได้สะดวกกว่าการพึ่งพาระบบสัมผัสบนหน้าจอเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ผ่านสาย USB ได้ โดยมีช่อง USB-A และ USB-C อย่างละ 1 ตำแหน่ง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (รวมเป็นทั้งหมด 4 ตำแหน่ง) เพื่อความสะดวกในการชาร์จสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหลาย
นอกจากนี้ บริเวณส่วนล่างของแผงคอนโซลหน้ายังมีแป้นชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) มาให้อีกต่างหาก พร้อมแถบกันลื่นเพื่อป้องกันโทรศัพท์ขยับขณะรถกำลังเคลื่อนที่นั่นเอง
ส่วนการขึ้น-ลงรถก็ทำได้อย่างสะดวก เพราะนอกจากจะถูกติดตั้งบันไดข้างมาให้จากโรงงานแล้ว ยังมีมือจับบริเวณด้านในของเสา A-pillar และ B-pillar มาให้ด้วย เมื่อรวมกับมือจับเหนือเพดานปกติ เท่ากับว่ารถคันนี้มีมือจับให้ถึง 8 ตำแหน่งเลยทีเดียว
ในด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ ก็มีให้ครบครันตามมาตรฐานรถยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกล้องมองภาพรอบคัน (MAM) ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์กะระยะจอดหน้า-หลัง, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC, ระบบควบคุมการลื่นไถล TCL, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก (Brake Override System), ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ (ESS), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า / ถุงลมนิรภัยด้านข้างคู่หน้า / ม่านถุงลม / ถุงลมบริเวณหัวเข่าผู้ขับขี่ และจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX เป็นต้น
นอกจากนี้ ในรุ่น Double Cab Plus Ultra AT ยังถูกติดตั้งระบบความปลอดภัย Diamond Sense ที่ประกอบไปด้วย ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมช่วยชะลอความเร็ว (FCM), ระบบเตือนมุมอับสายตา พร้อมสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (BSW - LCA), ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด RCTA, ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB และกล้องมองภาพรอบคัน MAM
เครื่องยนต์และช่วงล่าง
Mitsubishi Triton รุ่นปี 2024 ทุกรุ่น ถูกติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Hyper Power แบบ 4 สูบ Commonrail VG Turbo Intercooler ความจุ 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,250 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมระบบ Auto Stop & Go ที่สามารถกดสวิตช์เพื่อปิดการทำงานได้
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมด้วยระบบดิสก์เบรกด้านหน้า และดรัมเบรกด้านหลัง ขณะที่พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฮดรอลิก
การขับขี่
ในด้านการขับขี่ All-new Mitsubishi Triton ใหม่ สิ่งที่น่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส นั่นก็คือช่วงล่างที่ซับแรงสะเทือนดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จากโฉมก่อนหน้าที่ค่อนข้างแข็งไปสักหน่อยสำหรับการใช้งานออนโรดทั่วไป มาคราวนี้ถูกปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลกว่าเดิมอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัวมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บอาการโคลงได้อยู่หมัด อาการโยนขณะเข้าโค้งมีให้เห็นน้อยกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ช่วยเพิ่มความมั่นใจขณะขับขี่ได้ดี
ขณะที่สมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (รุ่นเดิมมีกำลังสูงสุด 181 แรงม้า) ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดทุกชิ้นส่วน ไม่ใช่การเอาเครื่องยนต์บล็อกเดิมมาปรับแต่งเพื่อรีดแรงม้า ให้การตอบสนองได้เป็นอย่างดี มีพละกำลังพร้อมรอให้ใช้ในทุกย่านรอบเครื่องยนต์ ซึ่งอันที่จริงต้องชมเชยทางมิตซูบิชิที่พัฒนาเครื่องยนต์ให้มีพละกำลังอย่างเหลือเฟือตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า มารอบนี้ก็สามารถทำได้ดีขึ้นไปอีก ซึ่งอันที่จริงผมต้องยอมรับว่านี่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาดไม่เกิน 2.5 ลิตร ที่มีพละกำลังจัดจ้านมากที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเลยก็ว่าได้
ในด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน หากใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. เสียงลมและเสียงจากพื้นถนนจะเล็ดลอดเข้ามายังห้องโดยสารน้อยมาก แต่เมื่อใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ก็จะเริ่มมีเสียงจากด้านข้างเข้ามา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจอยู่ดี สามารถพูดคุยสนทนากับผู้โดยสารภายในรถโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มระดับเสียงพูดแต่อย่างใด
สรุป
All-new Mitsubishi Triton ถือเป็นกระบะขนาด 1 ตัน ที่ได้เปรียบในด้านความสดใหม่มากที่สุดในตลาดขณะนี้ โดยมิตซูบิชิได้พัฒนารถรุ่นนี้ให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งในด้านรูปลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่ พร้อมด้วยเครื่องยนต์ที่แรงจัดจ้าน และช่วงล่างที่เซ็ตมานุ่มนวลน่าใช้กว่าเดิม ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานก็มีให้แบบครบๆ ในราคา 1 ล้านบาทเศษ เรียกว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้เลยก็ว่าได้ครับ
อัลบั้มภาพ 47 ภาพ