รีวิว Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้น คุ้มค่ากว่าเดิม

รีวิว Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้น คุ้มค่ากว่าเดิม

รีวิว Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้น คุ้มค่ากว่าเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     สมัยเมื่อครั้งที่ Nissan Terra ถูกเปิดตัวในประเทศไทยใหม่ๆ เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 หลายคนให้ความเห็นในทำนองว่าหน้าตาเชยบ้างล่ะ ออปชันสู่คู่แข่งไม่ได้บ้างล่ะ มาวันนี้ Terra ได้มีการปรับไมเนอร์เชนจ์ใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น แถมยังปรับปรุงด้านการขับขี่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย แต่น่าจะน่าซื้อมากน้อยขนาดไหน Sanook Auto จะพาไปดูกันครับ

terra_27

     แม้ว่า Nissan Terra โฉมไมเนอร์เชนจ์รุ่นปี 2022 จะถูกเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 แล้ว แต่เราเองก็เพิ่งได้มีโอกาสทดสอบรถรุ่นนี้อย่างจริงจังเมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆ แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้วก็ตาม

     Nissan Terra 2022 โฉมไมเนอร์เชนจ์มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย

  • 2.3 E 2WD 7AT
  • 2.3 VL 2WD 7AY
  • 2.3 VL 4WD 7AT

     โดยแต่ละรุ่นถือว่ามีอุปกรณ์มาตรฐานค่อนข้างครบครัน เพราะแม้แต่รุ่นล่างสุดอย่าง 2.3 E 2WD 7AT ก็มีระบบความปลอดภัย Nissan Intelligent Mobility (NIM) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบคู่ ขนาด 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ปัจจุบันก็ยังถือว่าแรงเป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดอยู่เช่นเดิม

terra_28

ภายนอก

     รูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan Terra โฉมไมเนอร์เชนจ์ ถูกเพิ่มเติมความทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยการเปลี่ยนไปใช้ไฟหน้าแบบ Quad-eye LED ที่ประกอบไปด้วย LED จำนวน 4 ดวง พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED รับกับกระจังหน้าทรง V-Motion เอกลักษณ์ของนิสสัน รวมถึงกันชนหน้าที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด

     ขณะที่ด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED แบบ Signature Light ที่ส่องสว่างเป็นแถบ LED จำนวน 2 เส้นในแต่ละข้าง พร้อมด้วยไฟเบรกแบบ LED รวมถึงกันชนท้ายที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่เช่นกัน แต่แถบโครเมียมขนาดใหญ่ที่พาดยาวเชื่อมไฟท้ายทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกันนั้น กลับชวนให้ดูแปลกตาไปเสียหน่อย แต่ไม่ว่าจะเลือกรุ่นย่อยใดก็จะได้ล้ออัลลอยสีทูโทนดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว เหมือนกันทั้งหมด

terra_31

     ในรุ่น E ถูกติดตั้งกระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED เสริมความเงียบในห้องโดยสารด้วยกระจกบังลมหน้าและกระจกหน้าต่างประตูคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวน (Acoustic Glass) มาให้ด้วย ขณะที่รุ่น VL จะถูกเพิ่มเติมด้วยระบบพับเก็บกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อกดล็อกประตู, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเลือกติดตั้งระบบประตูท้ายไฟฟ้าพร้อมเซ็นเซอร์เท้าเป็นอุปกรณ์เสริมได้ ซึ่งจะถูกติดตั้งในภายหลังที่ดีลเลอร์ ไม่ได้เป็นการติดตั้งมาให้จากโรงงานแต่อย่างใด

ภายใน

     ห้องโดยสารของรุ่น VL สามารถเลือกได้ทั้งโทนสีดำ-แดง และสีดำ-เบจ ขณะที่รุ่น E จะมีเฉพาะโทนสีดำเท่านั้น โดยเริ่มต้นที่อุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น E จะประกอบไปด้วย เบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้าแบบปรับมือ, พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด D-shape พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์, ระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และ 3, มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว พร้อม Off-Road Meter, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส NissanConnect ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay/Android Auto และลำโพง 6 ตำแหน่ง

terra_17

     นอกจากนี้ ในรุ่น E ยังถูกติดตั้งเซ็นเซอร์กะระยะด้านท้าย, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, ระบบการขับขี่อัจฉริยะ (Nissan Intelligent Mobility - NIM) ที่ประกอบไปด้วย ระบบการเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน (IFCW), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (IEB) และระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (LDW) รวมถึงถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านถุงลม) ทั้งหมดนี้มีให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นกันไปเลย

     ขณะที่รุ่น VL 2WD จะถูกเพิ่มเติมด้วยเบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา, ระบบเบรกมือไฟฟ้า e-PKB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) และเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า

terra_14

     ไม่เพียงเท่านี้ รุ่น VL ยังมีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานเกี่ยวกับระบบความบันเทิงค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ NissanConnect ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 9 นิ้ว รองรับ Wireless Apple CarPlay ได้ (Android Auto ต้องต่อผ่านสาย USB เช่นเดิม), ระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger), ระบบนำทาง รวมถึงหน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ Smart TV ผ่านช่อง HDMI ได้ ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณ Wi-Fi บนมือถือเรียบร้อยแล้ว ก็จะเปลี่ยนหน้าจอดังกล่าวให้กลายเป็น Smart TV ขนาดย่อมๆ ซึ่งสามารถรับชมคอนเทนท์อย่าง Netflix, WeTV รวมถึงใช้เป็นเบราเซอร์สำหรับท่องอินเทอร์เน็ตได้

terra_24

     ในรุ่น VL ยังมีการเพิ่มฟังก์ชันของระบบการขับขี่อัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility ขึ้นอีก 5 ฟังก์ชันจากรุ่น E ประกอบด้วย กระจกมองหลังอัจฉริยะ (IRVM), กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM), ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD), ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา (BSW) และระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (RCTA)

     ขณะที่รุ่น VL 4WD ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดนอกจากจะเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD แบบ Shift-on-the-fly แล้วนั้น ยังมีระบบล็อกเฟืองท้ายด้วยไฟฟ้า, ระบบ Off-Road Monitor ผ่านกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (HDC) และชุดเครื่องเสียง BOSE Premium Audio System พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ซึ่งให้คุณภาพเสียงจัดอยู่ในระดับดีทีเดียว ด้วยเนื้อเสียงที่เน้นความใส กังวาน รวมถึงเสียงเบสที่มีความกระหึ่มพอประมาณ

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

     Nissan Terra ไมเนอร์เชนจ์ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบคู่ ความจุ 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่สามารถปรับเป็นโหมดแมนนวลได้

terra_37

     ช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ติดตั้งระบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ขณะที่รุ่น E เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ได้ระบบดรัมเบรกด้านหลัง

การขับขี่

     สำหรับรุ่นที่เราทดสอบเป็นรุ่น VL 4WD หรือรุ่นท็อปสุด ซึ่งสิ่งที่เรายังคงประทับใจตั้งแต่โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก็คือสมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ยังคงตอบสนองฝีเท้าได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างนุ่มนวล แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเทียบกับตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็คือพวงมาลัยที่ปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลง สามารถหมุนได้อย่างคล่องมือมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ รวมถึงยังมีความรู้สึกว่าไวขึ้นอีกเล็กน้อย โดยรวมแล้วมันทำให้ Terra ใหม่ กลายเป็นรถที่ขับสนุกขึ้นมาอีกนิด

terra_33

     ขณะที่ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลตามสไตล์รถที่ใช้พื้นฐานแบบ Body-on-frame มีอาการโยนให้เห็นบ้างเมื่อเข้าโค้งที่ความเร็วสูง แต่ก็ไม่ถึงกับโคลงจนน่าเวียนหัว อันที่จริงมันเป็นรองเพียงแค่ช่วงล่างของ Everest เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังมีการปรับปรุงเพื่อลดเสียงรบกวนเข้ามายังห้องโดยสารด้วยการใช้กระจกแบบ Acoustic Glass ที่ 3 บานหน้า ซึ่งช่วยเสียงรบกวนได้จริง แม้ว่าจะได้ยินเสียงลมแทรกเข้ามาบริเวณเสา B-pillar อยู่บ้างเมื่อใช้ความเร็ว

     แต่จุดขายสำคัญของ Terra ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะเป็นในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เนื่องจากคราวนี้มีการติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวหลังเพิ่มขึ้นมา ซึ่งสามารถเชื่อมต่อแพล็ตฟอร์มความบันเทิงอย่าง Netflix และ WeTV ได้ ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการรับชมคอนเทนท์ต่างๆ โดยไม่เป็นการรบกวนสายตาผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่อยู่ด้านหน้า

terra_34

     แต่สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ หน้าจอหลังของ Terra จะไม่มีหูฟังไร้สายมาให้เหมือนกับ Pajero Sport หากแต่เป็นการกระจายเสียงผ่านลำโพงของตัวรถแทน ซึ่งระหว่างนั้นผู้ขับขี่ก็จะไม่สามารถฟังวิทยุหรือเพลงจากโทรศัพท์มือถือได้เลย เรียกได้ว่าเอาใจสายครอบครัวอย่างแท้จริง

สรุป

     Nissan Terra ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ได้มีการลบจุดด้อยที่มีมาในตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ไปแทบทั้งหมด โดยเฉพาะในเรื่องของดีไซน์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานให้แบบครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น จนถือได้ว่าเป็นรถพีพีวีที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้

     นอกจากนี้ Nissan Terra ยังซ่อนทีเด็ดอีกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังของเครื่องยนต์ การตอบสนองของช่วงล่าง รวมถึงในแง่ของความทนทานและการบริการหลังการขายที่ไว้ใจได้ตามฉบับนิสสัน หากใครกำลังมองหารถครอบครัวสไตล์พีพีวีก็ลองพิจารณาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดูนะครับ

terra_26

ราคาจำหน่าย Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์

  • รุ่น E 2WD 7AT ราคา 1,199,000 บาท
  • รุ่น VL 2WD 7AT ราคา 1,449,000 บาท
  • รุ่น VL 4WD 7AT ราคา 1,499,000 บาท

 

อัลบั้มภาพ 38 ภาพ

อัลบั้มภาพ 38 ภาพ ของ รีวิว Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้น คุ้มค่ากว่าเดิม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook