รีวิว Honda Civic Hatchback 2017 ใหม่ แฮทช์แบ็คหล่อแรงฟังก์ชั่นครบเครื่อง
เมื่อครั้งที่ Honda Civic เจเนอเรชั่นที่ 10 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นครั้งแรกในโลกที่สหรัฐอเมริกา ก็เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนฮอนด้าทั่วโลกได้อย่างล้นหลาม
เมื่อถึงคราวที่ Civic เจเนอเรชั่นใหม่ ถูกเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ก็สร้างกระแสรถยนต์ระดับ C-Segment ให้กลับมาคึกคัก ด้วยยอดจองเฉียด 4 หมื่นคัน ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว
ล่าสุด ฮอนด้าเสริมทัพด้วยการส่ง Civic Hatchback 2017 ใหม่ ซึ่งนับเป็นการกลับมาครั้งแรกของตัวถังแบบแฮทช์แบ็คหลังจากห่างหายไปจากตลาดยาวนานร่วม 20 ปี บอกเลยได้ว่างานนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!
Honda Civic Hatchback 2017 ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของซีวิคซีดานเจเนอเรชั่นที่ 10 ที่น้อยคนจะปฏิเสธเรื่องความสวยงามลงตัว แต่ปรับดีไซน์ตัวถังด้านท้ายให้มีลักษณะแบบ 5 ประตู เอาใจคนรักความสปอร์ตมากขึ้น รวมถึงมีการปรับดีไซน์และอ็อพชั่นให้ต่างออกไปจากรุ่นซีดาน
ปัจจุบัน Civic Hatchback 2017 มีวางจำหน่ายเพียงรุ่นย่อยเดียว คือ 1.5 Hatchback Turbo เกียร์อัตโนมัติ CVT ตั้งราคาจำหน่ายอยู่ระหว่าง Civic Turbo และ Civic Turbo RS ตัวถังซีดาน ซึ่งหลายคนอาจมองว่าราคาถูกเปิดมาค่อนข้างสูงสำหรับรถระดับ C-Segment แต่ก็เป็นผลมาจากการที่ฮอนด้าตั้งกลุ่มเป้าหมายของรุ่นแฮทช์แบ็คไปยังลูกค้าที่ต้องการความสปอร์ตเป็นหลัก ทั้งดีไซน์และสมรรถนะ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม Civic Hatchback ไม่ทำตลาดรุ่น 1.8 ลิตร เหมือนกับตัวถังซีดาน
ดีไซน์ภายนอกของ Civic Hatchback Turbo โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ Full LED ไม่ว่าจะเป็นไฟต่ำ, ไฟสูง, ไฟเลี้ยว, Daytime Running Light และ ไฟตัดหมอก ติดตั้งกระจังหน้าสีดำเงาแบบเดียวกับรุ่น Turbo RS ขณะที่กันชนหน้าถูกออกแบบใหม่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นแฮทช์แบ็ค ตกแต่งด้วยพลาสติกรูปทรงตะแกรงสีดำขนาดใหญ่ ออกแบบให้กันชนมีลักษณะยื่นออกมามากขึ้น
บริเวณซุ้มล้อหน้าถูกตกแต่งด้วยไฟหรี่แบบ LED โคมขาวที่มีตัวหลอดด้านในสีส้ม ประตูคู่หน้ายกชุดมาจากรุ่นซีดานเป๊ะๆ ขณะประตูคู่หลังแตกต่างจากรุ่นซีดานเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับกระจกโอเปร่าด้านท้าย ส่วนเสา D-Pillar ถูกออกแบบให้มีความหนาพอสมควร ซุ้มล้อถูกเน้นโป่งสันยื่นออกมารับกับล้ออัลลอยชัดเจน
ไฟท้ายเป็นแบบ LED รูปทรงตัว C ออกแบบลากยาวขึ้นไปจรดกับสปอยเลอร์สีดำ ขณะที่กันชนถูกตกแต่งด้วยพลาสติกรูปทรงตะแกรงสีดำขนาดใหญ่รับกับกันชนหน้า ขอบล่างของกันชนออกแบบให้มีลิ้นสปอยเลอร์ในตัว ขณะที่ท่อไอเสียแบบคู่ถูกติดตั้งแยกไว้ทั้ง 2 ข้าง แต่ออกแบบให้ซ่อนไว้ในกันชน
Civic Hatchback Turbo ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์เดียวกับ Civic Turbo โฉมซีดาน พร้อมยางขนาด 215/50 R17 ขณะที่ยางอะไหล่เป็นล้อชั่วคราวขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง T125/80 มาให้
ตัวถังของเวอร์ชั่นแฮทช์แบ็ค มีขนาดสั้นกว่ารุ่นซีดานอยู่เล็กน้อย นอกนั้นแทบเหมือนกันหมด โดยรุ่นแฮทช์แบ็คมีความยาว 4,501 มิลลิเมตร (รุ่นซีดาน 4,630 มิลลิเมตร) ความกว้าง 1,799 มิลลิเมตร (เท่ากับรุ่นซีดาน) ความสูง 1,421 มิลลิเมตร (รุ่นซีดาน 1,416 มิลลิเมตร) ความยาวฐานล้อ 2,697 มิลลิเมตร (รุ่นซีดาน 2,698 มิลลิเมตร)
ขณะที่ความสูงจากพื้นถนนของรุ่นแฮทช์แบ็คกลับมากกว่ารุ่นซีดาน โดยอยู่ที่ 133 มิลลิเมตร ขณะที่รุ่นซีดานอยู่ที่ 125 มิลลิเมตร
ภายในห้องโดยสารของ Civic Hatchback 2017 ยังคงให้ความกว้างขวางไม่แพ้รุ่นซีดาน สามารถโดยสารได้ 5 ที่นั่งแบบไม่อึดอัด แถมยังมีพื้นที่เหนือศีรษะให้แบบเหลือๆ แถมยังให้ความรู้สึกโปร่งกว่ารุ่นซีดานด้วยซ้ำไป ขณะที่พื้นที่วางขาก็มีให้อย่างเหลือเฟือเช่นกัน จึงถือเป็นรถที่เหมาะสำหรับทั้งการใช้งานคนเดียว และใช้งานในรูปแบบครอบครัว
ห้องโดยสารเน้นโทนสีดำเป็นหลัก เบาะนั่งถูกหุ้มด้วยหนังแท้สลับหนังสังเคราะห์ ฝั่งผู้ขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ตัวเบาะเองมีขนาดใหญ่และกว้าง สามารถซัพพอร์ตแผ่นหลังได้อย่างสบาย ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ มีพนักพิงศีรษะปรับระดับได้ 2 ตำแหน่ง ขณะที่ตรงกลางเป็นแบบยึดตาย
ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่พอที่จะวางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่บิ๊กเบิ้มได้ 2 ใบซ้อนกัน แถมยังจุกระเป๋าเป้หรือกระเป๋าผ้าใบเล็กได้อีก ด้านท้ายยังมีแผงปิดห้องสัมภาระด้านท้ายแบบพับเก็บได้ในตัว ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะรูดออกทางด้านข้าง ช่วยปิดไม่ให้คนภายนอกมองเห็นสัมภาระที่อยู่ด้านท้าย
แผงคอนโซลหน้าถูกติดตั้งหน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว Advanced Touch สามารถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้แบบเดียวกับรุ่นซีดาน รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมพอร์ต USB จำนวน 2 ช่อง และ HDMI มาให้ 1 ช่อง ติดตั้งไว้ในช่องใต้แผงคอนโซล ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 จุดรอบคัน
ไล่ลงมาเป็นปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ สามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาได้ ซึ่งควบคุมผ่านหน้าจอชุดเดียวกับเครื่องเสียง โดยหากต้องการปรับความแรงลม จะต้องกดปุ่ม Climate เพื่อเข้าไปยังเมนูระบบแอร์เสียก่อน ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่ายังใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าไหร่นักโดยเฉพาะเวลาที่กำลังควบคุมรถอยู่
ด้านผู้ขับขี่ติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้านที่ยกมาจากรุ่นซีดาน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงทางฝั่งซ้าย และปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control ทางด้านขวา ด้านหลังพวงมาลัยติดตั้งแป้น Paddle Shift สำหรับเปลี่ยนเกียร์แบบแมนนวลได้ มาตรวัดความเร็วเป็นแบบหน้าจอ TFT ขนาดใหญ่ สามารถแสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลาย รวมถึงอัตราการบูสต์ของเทอร์โบแบบเรียลไทม์ได้ด้วย ตัวเลขออกแบบให้อ่านง่าย ชัดเจน
กระจกคู่หน้าสามารถเลื่อนขึ้นสุด-ลงสุดได้อัตโนมัติ ขณะที่คู่หลังยังคงต้องกดค้างไว้เช่นเคย โดยฝั่งผู้โดยสารด้านหน้ายังมีปุ่มควบคุมระบบเซ็นทรัลล็อคมาให้ด้วย ขณะที่ใบปัดน้ำฝนด้านหน้าเป็นแบบอัตโนมัติ พร้อมที่ปัดน้ำฝนหลังมาให้
ที่วางแขนระหว่างเบาะนั่งคู่หน้าสามารถเลื่อนแผงเปิด-ปิดได้ หากเปิดขึ้นมาก็จะพบกับช่องวางแก้วน้ำและที่เก็บของขนาดใหญ่ ขณะที่ตัวคอนโซลกลางออกแบบให้มีความสูงพอควร ให้อารมณ์รถสปอร์ตและยังใช้วางแขนได้อย่างพอดิบพอดี
ใกล้กับคันเกียร์เป็นสวิตช์ควบคุมระบบเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Auto Brake Hold ที่ช่วยเหยียบเบรกค้างให้ขณะจอดติดไฟแดง รวมถึงปุ่มควบคุมระบบประหยัดน้ำมัน ECON มาให้ด้วยเช่นกัน
ระบบกุญแจเป็นแบบ Honda Smart Key System ที่สามารถล็อค-ปลดล็อครถได้โดยไม่ต้องนำกุญแจออกจากกระเป๋า ทำงานควบคู่กับปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ขณะที่ตัวกุญแจยังมีฟังก์ชั่นสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท โดยการกดปุ่มล็อครถ 1 หนึ่ง ตามด้วยปุ่มรูปลูกศรกลมค้างไว้จนกระทั่งไฟฉุกเฉินกระพริบ 1 ครั้งแล้วจึงปล่อย เครื่องยนต์จะติดขึ้นเองพร้อมกับระบบปรับอากาศ ช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารก่อนขึ้นรถ ซึ่งขณะที่เครื่องยนต์กำลังติดอยู่นี้ ตัวรถจะยังคงถูกล็อคไว้ ไม่สามารถขึ้นรถได้
แต่ระหว่างนี้ หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถขึ้นรถได้ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม ทันทีที่กดสวิตช์บริเวณหัวเกียร์เพื่อเลื่อนตำแหน่งคันเกียร์นั้น เครื่องยนต์จะดับในทันที และไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีกตราบใดที่กุญแจไม่ได้อยู่ในรถ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของระบบรีโมทสตาร์ทเลยแม้แต่น้อย
ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทั้ง 5 ตำแหน่ง, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบชว่ยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist, ระบบกล้องมองหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ, ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า, สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, จุดยึดสำหรับติดตั้งเบาะนั่งเด็ก ISOFIX เป็นต้น
ด้านขุมพลังใน Civic Hatchback Turbo 2017 เป็นบล็อกเดียวกับเครื่องยนต์เทอร์โบในรุ่นซีดาน โดยเป็นเครื่องยนต์เบนซิน DOHC แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร VTEC TURBO ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT สามารถปรับโหมดแมนนวลได้ด้วย Paddle Shift รองรับน้ำมันทางเลือกสูงสุด E20
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทอิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงค์อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง โดยมีการปรับสปริงให้แข็งขึ้นกว่ารุ่นซีดานประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรองรับน้ำหนักตัวถังที่เพิ่มมากขึ้น ติดตั้งระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน
มาถึงจุดหลายคนคงเกิดความสงสัยว่า ด้วยค่าตัวที่แทรกอยู่ระหว่างรุ่น Turbo และ Turbo RS ในโฉมซีดานนั้น จะมีอ็อพชั่นอะไรแตกต่างกันบ้าง ซึ่งเราขอสรุปมาให้ดังนี้
อ็อพชั่นที่หายไปเมื่อเทียบกับรุ่น Civic 1.5 Turbo RS ซีดาน:-
- Honda LaneWatch
- ชุดแอโร่พาร์ท RS
- ระบบนำทาง Navigator
- กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
อ็อพชั่นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น Civic 1.5 Turbo ซีดาน:-
- ไฟหน้า LED
- ไฟตัดหมอก LED
- ดีไซน์กันชนเฉพาะรุ่น Hatchback
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
- ม่านถุงลมนิรภัย
- แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
ซึ่งความแตกต่างกันทั้งหมดนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลกับราคาที่ถูกวางไว้ต่างกันอย่างชัดเจน
สำหรับการทดสอบครั้งนี้เป็นเส้นทาง หัวหิน-เขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งตลอดทางมีการจราจรเบาบาง จึงทำให้การทดสอบเน้นไปที่รูปแบบใช้งานนอกเมืองมากกว่า
อัตราเร่งของ Civic Hatchback Turbo ถือว่าให้ความจัดจ้านดี สามารถเร่งความเร็วแตะระดับ 100 กม./ชม. ได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากการทำงานของเทอร์โบ ที่ช่วยเค้นแรงบิดได้ถึง 220 นิวตันเมตร ที่รอบกว้างตั้งแต่ 1,700 ไปจนถึง 5,500 รอบต่อนาที ขณะที่จังหวะการเปลี่ยนให้ความลื่นไหลตามสไตล์ CVT และยังไม่สูญเสียกำลังจากการตัดต่อเหมือนกับเกียร์อัตโนมัติแบบ AT ทั่วไป นั่นจึงทำให้แรงบิดถูกถ่ายทอดไปยังล้อคู่หน้าได้อย่างเต็มที่
ด้านช่วงล่างในรุ่นแฮทช์แบ็คไม่ต่างจากรุ่น Turbo RS ที่เราเคยขับก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก โดยให้ความหนักแน่น หนึบหนับ แต่ยังคงซับแรงสะเทือนได้ค่อนข้างดี อีกทั้งตัวถังที่ออกแบบให้กว้างและเตี้ย ทำให้รู้สึกถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ เพิ่มความมั่นใจในการเข้าโค้ง
พวงมาลัยของ ซีวิค แฮทช์แบ็ค เทอร์โบ ให้ความกระชับ แม่นยำ น้ำหนักพวงมาลัยกำลังดีในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงประมาณ 140 กม./ชม. หากมากกว่านั้น จะเริ่มรู้สึกว่าพวงมาลัยมีอาการหวิวบ้าง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ควบคุมได้อย่างมั่นใจ
การเก็บเสียงของห้องโดยสารสามารถทำได้น่าประทับใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากพื้นถนนที่อยู่ในระดับต่ำ เสียงจากช่วงล่างขณะวิ่งผ่านหลุมหรือพื้นผิวขรุขระ รวมถึงเสียงลมที่เล็ดลอดเข้ามายังห้องโดยสารได้น้อยมาก แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม
สรุป Honda Civic Hatchback 2017 ใหม่ ถือเป็นรถระดับ C-Segment รูปทรงแฮทช์แบ็คที่น่าใช้งานมากที่สุดคันหนึ่ง ด้วยดีไซน์ที่สวยงามโฉบเฉี่ยว แหวกแนวซีวิคแบบเดิมๆไปจนหมดสิ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งห้องโดยสารที่โอ่โถง กว้างขวาง ใช้งานเป็นประจำ 1-2 คนก็ไม่เทอทะ ใช้งานทั้งครอบครัวก็ไม่ต้องหวั่น ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่บ่นเรื่องห้องโดยสารหลังอย่างแน่นอน สมรรถนะเครื่องยนต์เทอร์โบแรงจัดจ้าน แม้ว่าจะใช้เกียร์แบบ CVT ที่ทำให้ความสนุกจากแรงกระชากของเกียร์หายไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยความนุ่มนวลและลื่นไหล และความประหยัดน้ำมันที่ดี
Civic Hatchback Turbo คันนี้ยังคงคุณสมบัติความดีงามของ Civic ใหม่ ไว้อย่างครบถ้วน แต่เพิ่มเติมด้วยดีไซน์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากขึ้น เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่ใจรักความสปอร์ตมากกว่ารุ่นซีดาน อนาคตตัวถังนี้น่าจะได้รับความนิยมไปอีกยาว ดังนั้น ถ้าใครงบถึงและกำลังมองหารถระดับล้านต้น ดีไซน์โฉบเฉี่ยว สมรรถนะแจ๋วๆคันหนึ่งแล้วล่ะก็ รับรองว่ารถคันนี้ไม่ผิดหวังครับ
ราคาจำหน่าย Honda Civic Hatchback Turbo 2017 ใหม่ อยู่ที่ 1,169,000 บาท
ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 70 ภาพ