รอยเหลื่อมแห่งเวลาที่...ปักกิ่ง
เมืองที่สถาปัตยกรรมโบราณยืนเบียดเคียงบ่าเคียงไหล่กับสถาปัตยกรรมสุดล้ำของยุคใหม่ และไปไหนๆ ก็เต็มไปด้วยคน...คน...และคน
หลังจากได้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิปปิกฤดูร้อนเมื่อปี 2008 หรือเมื่อสองปีที่แล้ว ชื่อเสียงของ "ปักกิ่ง" เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็กลายเป็นเมืองที่แทบจะขึ้นมาเทียบชื่อชั้นของมหานครใหญ่หลายแห่งในโลกได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร ใครที่เคยมาปักกิ่งก่อนจะมีการจัดแข่งกีฬาโอลิมปิก ควรต้องกลับมาใหม่อีกสักครั้ง เพื่อเทียบดูว่าเดี๋ยวนี้ปักกิ่งเขาพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว
อย่างน้อยก็ยังพอหาห้องน้ำที่ทันสมัยกว่าเดิมและไม่เหม็นเท่าเดิมได้ และบ้านเมืองที่ดูสะอาดสะอ้านกว่าเดิมหลายขุม ทุกอย่างล้วนดูราวกับถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นทีเดียวเชียว
ใหม่เคียงเก่า
แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยน เห็นจะเป็นผู้คนที่มากมายจนต้องใช้คำว่า "ยั๊วะเยี๊ยะ" ไปหมดตามสถานที่ต่างๆ ใครไปเมืองจีนเข้าสักทีก็คงเลิกแปลกใจแล้วว่า ทำไมคนจีนถึงทำตัวไม่แคร์ใคร เพราะแค่อาศัยคนจีนอย่างเดียว กำลังการบริโภคในมือก็มีอยู่เหลือเฟือ แถมคนอื่นต่างหากที่ต้องหันมาง้อประชากรที่มากมายมหาศาลของเมืองจีน ที่กำลังมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามเศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรง
จีนทุกวันนี้จึงเป็นจีนที่แสนจะทันสมัย ถ้าไม่นับว่ามีรัฐบาลที่บอกซ้ายหันขวาหันกับประชาชนได้ตามชอบใจเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง จีนก็แทบจะไม่ต่างจากเมืองใหญ่หลายแห่งในโลกเสรี
ปักกิ่ง...ที่เป็นเมืองหลวงของจีนก็ถูกปรับโฉมเสียจนสวยงามน่าดู สมกับเป็นเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถ้าเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้า ปักกิ่งก็เป็นศูนยืกลางทางการปกครอง การศึกษา และศิลปวัฒนธรรมของจีน เป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย เคียงข้างไปกับสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่ผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ หลายตึกได้รับการออกแบบอย่างสุดล้ำ เหมือนจะอวดกันว่า ไม่ว่าจะของเก่าหรือของใหม่ จีนก็สามารถสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้ไม่แพ้ใครในโลก
สวัสดี...เทียนอันเหมิน
แต่ถ้าเป็นของเก่าแล้ว จีนคงต้องนับว่าไม่เป็นสองรองใคร ด้วยความเป็นประเทศเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน รวมทั้งมีความเข้มแข็งทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรมของจีนจึงได้กลายมาเป็นต้นแบบให้แก่ศิลปวัฒนธรรมของหลายประเทศในย่านเอเชียด้วยกัน
และกลิ่นอายของอดีตอันรุ่งเรืองก็หอมอวลอยู่ทั่วปักกิ่ง สถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ของปักกิ่งก็ล้วนแต่เป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พระราชวังต้องห้าม" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
แต่ก่อนจะย่างก้าวเข้าไปสัมผัสกับรอยเวลาที่พระราชวังต้องห้าม อย่าลืมแวะผ่านไปทักทายกับจตุรัสใหญ่ยักษ์กลางเมืองปักกิ่งกันก่อน ชื่อของ "เทียนอันเหมิน" ที่ได้ชื่อมาจากประตูที่อยู่ทางเหนือของจตุรัส เป็นที่จดจำกันทั่วโลกถึงโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทำให้เหล่าชาวโลกเสรีรุมประณามรัฐบาลจีน แต่ในขณะเดียวกันเทียนอันเหมินก็เป็นจุดศูนย์รวมสำคัญของปักกิ่ง ที่แวดล้อมไปด้วยสถานที่ทางประวัติสาสตร์ที่สำคัญ อย่างเช่นพระราชวังต้องห้ามที่ทุกคนต้องไปเยือน และยังมีพิพิธภัณฑ์รวมถึงสถานที่ราชการสำคัญๆ อีกมากมาย
ฉะนั้น อย่าไปนึกถึงเรื่องเศร้าที่ผ่านไปแล้วให้มากนัก มาเปิดตาเปิดใจชื่นชมกับศิลปวัฒนธรรมอันงดงามที่อยู่รายล้อมจตุรัสขนาด 400,000 ตารางเมตรที่ได้ชื่อว่าเป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันดีกว่า
หอมกลิ่นอดีตในพระราชวังต้องห้าม
เมื่อบอกลาเทียนอันเหมิน เราก็สามารถทักทายกับ "พระราชวังต้องห้าม" ได้ในเกือบทันที คนจีนเรียกที่นี่ในอีกชื่อหนึ่งว่า "กู้กง" ซึ่งหมายถึงพระราชวังเดิม แต่คำว่าพระราชวังต้องห้ามหรือ Forbidden City มาจากอดีตซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสามัญชนทั่วไป
แต่ตอนนี้เหล่าสามัญชนสามารถเดินกันเกลื่อนกระราชวังต้อมห้ามได้อย่างเสรี แต่กว่าจะเดินทั่วก็คงอาจขาลาก เพราะคนจีนดูจะนิยมสร้างอะไรให้ใหญ่โตมาแต่ไหนแต่ไร พระราชวังแห่งนี้จึงมีเนื้อที่ถึง 720,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 450 ไร่นั่นทีเดียว
บนพื้นที่มหึมานี้มีอาคารถึง 800 หลัง และมีห้องต่างๆ รวมกันถึง 9,999 ห้อง ถ้าใครเดินที่จตุรัสเทียนอันเหมินมาแล้วก่อนจะลอดอุโมงค์ข้ามมาที่นี่ ก็อาจหมดแรงที่จะเดินดูให้ทั่วถึง หรืออย่างน้อยก็คงไม่อาจเดินชมที่นี่ได้อย่างทั่วถึงภายในวันเดียวแน่นอน
แต่ท่ามกลางอาคารท้องพระโรงอันใหญ่โต ทางเดินอันกว้างขวางและกำแพงยาวเหยียด เรากลับพบว่าห้องพักแต่ละห้องภายในอาคารส่วนที่พักอาศัยนั้นช่างกระจ้อยร่อย ไม่ว่าจะเป็นห้องบรรทมของจักรพรรดิ หรือห้องบรรทมของพระนางซูสีไทเฮาผู้โด่งดัง ก็ล้วนแต่ดูสมถะไม่หรูหราใหญ่โตอย่างที่น่าจะเป็นเลย
อีกทั้งว่ากันว่าของตกแต่งอันหรูหรามีราคาหลายอย่าง ได้ถูกยักย้ายถ่ายเทไปจากพระราชวังแห่งนี้ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายในประวัติศาสตร์จีน การตกแต่งภายในบางส่วนจึงไม่ดูอลังการงานสร้างเทียบเท่ากับตัวสถาปัตยกรรม แต่ด้วยร่องรอยแห่งอดีตที่อวลอายอยู่ทุกตารางนิ้วบน "ดินแดนต้องห้าม" แห่งนี้ ก็คงมากมายเกินพอแล้วสำหรับการแวะมาเที่ยวชม
สถาปัตยกรรมสุดล้ำ
ถ้าพระราชวังต้องห้ามเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของอดีตแห่งปักกิ่ง สนามกีฬาแห่งชาติ หรือ "สนามรังนก" ที่เรียกกันลักษณะของสถาปัตยกรรม ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อสองปีก่อน ก็คงถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของปักกิ่งยุคใหม่
เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้ชื่อว่า "ถึง" ปักกิ่งแล้วจริงๆ ก็ต้องแวะมาชมความล้ำสมัยของสนามกีฬาแห่งนี้กันด้วย รวมถึงอาคารที่ใช้แข่งกีฬาทางน้ำหรือ Water Cube อันแสนทันสมัย และในบริเวณเดียวกันนี้ยังมีตึกใหม่ในย่านนี้สองตึกที่ถือเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันโดดเด่นของปักกิ่งนั่นก็คือ อาคารสถานีโทรทัศน์ CCTV และ World Trade Center Tower III อีกด้วย
ตื่นตาตื่นใจกันจนอาจลืมไปเลยก็ได้ว่า ปักกิ่งเป็นเมื่องเก่าแก่อายหลายร้อยปี และเราก็เพิ่งย่างเท้าออกมาจากอดีตที่พระราชวังต้องห้ามกันหยกๆ
เวลา...ที่ปักกิ่งดูจะซ้อนเหลื่อมกันเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้นเอง
Fast Facts
* สนามบินปักกิ่ง (Beijing Capital International Airport) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากใจกลางเมืองราว 26 กม. สามารถเดินทางเข้าเมืองได้ด้วยรถไฟใช้เวลาราว 20 นาที ค่าโดยสาร 25 หยวน หรือวิธีทีถูกกว่าก็คือการใช้รถเมล์ที่มีหลายสายเข้าสู่ย่านต่างๆ ในเมือง ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 16 หยวน
* รถไฟใต้ดินในปักกิ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกสบายในการท่องเที่ยว เพราะมีป้ายบอกทางต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน มีทั้งหมด 9 สาย เปิดตีห้าถึงเที่ยงคืน
* สายที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือสาย 1 ที่วิ่งจากตะวันออกไปตะวันตก และผ่านจตุรัสเทียนอันเหมิน และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง สาย 2 เป็นสายวงแหวน ตามแนวกำแพงเมืองโบราณ สาย 5 ที่วิ่งจากเหนือไปใต้และผ่านจุดเที่ยวชมหลายแห่งเช่นกัน สัญลักษณ์ของสถานีรถไฟใต้ดินที่ปักกิ่งเป็นป้ายสีน้ำเงินมีตัวหนังสือตัว G ตัวใหญ่และตัว B ตัวเล็ก ค่าตั๋วเที่ยวเดียว 2 หยวน
* รถประจำทาง มีหลายสายครอบคลุมทุกเส้นทาง ค่าโดยสารจะเริ่มต้นที่ 1 หยวนขึ้นอยู่กับระยะทาง
* รถแท็กซี่ เริ่มต้นค่าโดยสาร 10 หยวน และเพิ่มกิโลเมตรละ 2 หยวน
* พระราชวังต้องห้าม เปิด 08.30-15.30 น. ในช่วงตุลาคม-เมษายน และ 08.30-16.00 น. ในเดือนพฤษภาคม-กันยายน
* ถนนหวังฟูจิงเป็น Shopping Street สายสำคัญของปักกิ่ง เต็มไปด้วยศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มากมาย แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศการช้อปปิ้งแบบเก่าๆ ลองแวะไปที่ย่าน Hutong ซึ่งเป็นย่านเก่าของปักกิ่ง บ้านเรือนในละแวกนี้ยังเป็นตึกเก่าๆ แบบดั้งเดิมที่ยังมีประชาชนอาศัยอยู่ แต่หลายแห่งถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึก ร้านอาหาร บาร์ และโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)