มาเก๊า...มาคนเดียวก็เที่ยวได้ [ตอนที่ 1]
ณัฐภณ วุฒิกานากร แห่งบ้านผางาม เมืองผจญภัย
“จะบ้ารึเปล่า..ไปมาเก๊าคนเดียวเนี่ยนะ !!”
“โห..กล้ามากพี่..”
“ถามจริง...มาอารมณ์ไหนเนี่ย”
และอีกหลากหลายคำถามและความรู้สึก เมื่อเพื่อนสนิทของผมแต่ละคนรู้ว่า ผมวางแผนที่จะบินไปเที่ยวมาเก๊า 4 วัน 3 คืน … เพียงคนเดียว !!
นี่คือการผจญภัยครั้งที่ 4 ของผม..ณัฐภณ วุฒิกานากร แห่งบ้านผางาม เมืองผจญภัยครับ ผมได้เขียนบทความเที่ยวต่างแดนมาแล้วใน ตะลุยพรมแดนธรรมชาติ อะลาสก้า และ มหัศจรรย์เหลือเชื่อ…นี่หรือ อินเดีย และพักความตื่นเต้นด้วยการท่องเที่ยวแถวบ้านผมใน มาสูดโอโซนที่วังน้ำเขียวกันเถอะ
แต่การผจญภัยครั้งล่าสุดของผม เป็นการเดินทางในต่างแดนครั้งแรกในชีวิตของผมจริงๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ท้าทาย สุขเศร้าเหงาเหนื่อย และทุกอารมณ์ที่คุณแทบจะหาได้ในตัวเราในทริปเดียว ยังเป็นการเดินทางที่เปี่ยมไปด้วยการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ตามผมมาดีกว่าครับ
มาเก๊า...เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความคุ้นเคยและมี Promotion ที่ไม่แพงมาก เมื่อไม่มีเพื่อนร่วมทางและความตั้งใจอยากออกผจญภัยในโลกกว้างขึ้นสูงสุด ปฏิบัติการ “บินเดี่ยว” จึงเริ่มจากการวางแผนจองที่พัก + ตั๋วเครื่องบินผ่านทาง Internet ผ่านไปด้วยความง่ายดาย
เมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง...ระดับความกลัวไต่ขึ้นสูงสุดเท่ากับระดับความอยากไป ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในภาวะไข้หวัด 2009 ระบาด,เหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น กรณีที่อยู่คนเดียวในประเทศที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ,ฯลฯ ทำให้ผมเริ่มทบทวนอีกครั้ง แต่เพราะเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า ผมสะกดคำว่า “กลัว” ไม่เป็น และเพราะไม่อยากเสียใจในสิ่งที่เราไม่ได้ทำเมื่อมีโอกาส... อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต ทำให้ผมตัดสินใจแน่วแน่ด้วยแผนความปลอดภัยมากมาย ( ด้วยตัวคนเดียว )
Day 1 ...เริ่มออกเดินทางกันเลย
ก่อนเริ่มการเดินทางผมแนะนำให้ท่านที่สนใจจะเดินทางซื้อหนังสือคู่มือท่องเที่ยวด้วยตัวเอง “เที่ยวไม่ง้อทัวร์.. ตีตั๋วตะลุยมาเก๊าเซินเจิ้น” และ “มาเก๊าฯ คู่มือเที่ยวตามใจชอบ ” ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ช่วยให้ผมเอาชีวิตรอดได้ในทริปนี้ โดยในบทความนี้ผมจะเขียนเรื่องราวและความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ส่วนรายละเอียดลึกๆ ท่านสามารถศึกษาเจาะลึกจากคู่มือ 2 เล่มนี้ครับ
เริ่มต้นด้วยการ Check In ที่สนามบินสุวรรณภูมิแต่เช้าตรู่ ด้วย E-Ticket ที่พิมพ์มา, แลกเงิน Hongkong Dollar [เพื่อไปแลกเป็นเงินมาเก๊าอีกครั้งเมื่อไปถึง] ,ซื้อบัตรโทรทางไกล ,ทานอาหารเช้า แล้วบินตรงสู่มาเก๊าทันที ความรู้สึกในตอนนั้นคือ อึดอัดเล็กน้อย เพราะสภาพอากาศที่ปิดและความกังวลเรื่องหวัด 2009 แต่ก็ปล่อยวางเมื่อเครื่องบินลงแตะถึงพื้น ...ถึงมาเก๊าแล้วเฟ้ย!!..( กลับลำไม่ทันแล้ว 5555 )
หลังจากผ่านการตรวจที่ Immigration ผมไม่รีบร้อนเข้าตัวเมือง แต่แลกเงินมาเก๊าและเศษเหรียญ ( สำหรับใช้ขึ้นรถเมล์) พร้อมซื้อบัตรลงทะเบียนซิมมาเก๊าให้เรียบร้อย จึงเรียก Taxi จากสนามบินเข้าสู่ที่พัก ซึ่งต้องข้ามจากเกาะ TAIPA ไปยังเกาะ Macau เพียง 70 MOPs ( หน่วยเงินของ Macau ) หรือประมาณ 350บาทไทย [จริงๆจะลองขึ้นรถเมล์ ซึ่งจะประหยัดกว่า ประมาณไม่เกิน 5 MOPs โดยใช้สาย 21A ได้เช่นกัน แต่ไม่แนะนำสำหรับคนยังไม่เคยนั่งรถเมล์ใน Macau เพราะมีโอกาสหลงได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเราไม่รู้จักตำแหน่งของโรงแรมอย่างชำนาญ ไว้ฝึกให้คล่องในตัวเมืองดีกว่าครับ]
ผมเดินทางเข้าพักที่โรงแรม Best Western Sun Sun ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จองผ่าน Go Holiday พร้อมตั๋วบินของ Air Asia ยอมรับว่าเป็น Program ที่คุ้มค่าจริงๆครับ ที่พัก 4 วัน 3 คืนรวมตั๋วไปกลับ 6,500 บาท [นอน 2 คืน ฟรี 1 คืน] ปัจจุบันอาจจะไม่ได้ Promotion นี้แล้ว และราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ยังไงก็ลองเปรียบเทียบของทุกๆรายดูก่อนนะครับ [นี่คือตัวอย่างของการแก้ปัญหาการท่องเที่ยวที่น่าศึกษาในช่วงวิกฤตครับ เราซื้อโปรแกรมในช่วง Low ทำให้ได้ราคาดี ที่ผู้ขายตั้งใจขายเพื่อฟื้นฟูเรื่องการท่องเที่ยวช่วงซบเซา]
ผมย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้ส่งเสริมให้คนไทยออกท่องเที่ยวต่างประเทศ เพียงแต่ต้องการหาประสบการณ์ส่วนตัว และเราได้เรียนรู้ด้วยว่า การท่องเที่ยวสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติได้จริงๆ ราคาถูกขนาดนี้ ทำให้ผมคิดตั้งแต่ช่วงพิมพ์ข้อมูลจากหน้า Net แล้วว่า โรงแรมระดับ 3 ดาว คุณภาพคงแค่พอนอนได้ ผิดคาดครับ!!! ใน Net รูปไม่ดี แต่มาของจริงหรูเลิศมาก (ในความคิดผมนะ) Lobby กำลังทำใหม่ และห้องพักถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา ใกล้แหล่งท่องเที่ยว Senado Square จุด Shopping และถ่ายภาพยามค่ำคืนของผม
ทางโรงแรมยังเสนอขายห้องพัก Suite แทนห้อง Standard ซึ่งราคาสูง แต่ผมก็ขอไปดูก่อนทั้งสองห้อง ผมตัดสินใจเลือกห้องมาตราฐานซึ่ง โชคดีมากอยู่ตรงหัวมุม เห็นวิวท่าเรือและมีกระจก 2 ข้างของผนังห้อง ทำให้เจ้าหน้าที่โรงแรมบ่นเป็นภาษาจีนเล็กน้อย อิอิ Back Packer อย่างเราต้องสมบุกสมบันแบบสบายกระเป๋าหน่อย....โปรแกรมเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ อ้อยอิ่งจัดข้าวของ แต่พอจะออกไปเดินเล่นตอน 16.00น. ฝนกลับตกกระหน่ำ...(ครั้งที่ 1) จึงตัดสินใจนอนเอาแรงและออกไปผจญภัยตอนหัวค่ำแทน
ความเหงาเริ่มเข้ามาจู่โจมอย่างแรง เมื่อเปิดทีวีทุกช่อง มีแต่รายการภาษาจีน และเป็นละครรันทดเกือบทุกช่อง T_T …
เทคนิคแก้เหงา 1 : มีช่องฟุตบอล True Sport ใน Cable TV ของห้องพักด้วย !! ถึงผมดูบอลไม่เป็น ก็เปิดให้ได้ยินเสียงภาษาไทยตลอด เพื่อแก้อาการ Home Sick จนกระทั่งหลับได้
ตื่นขึ้นมา...ความกังวลเข้าจู่โจมต่อ คือ เรื่องการสื่อสารครับ เพราะตั้งแต่มาถึง Sim card (CTM) และ International Card ที่เปิดใช้ ถึงเวลาจริงๆใช้ไม่ได้เลย มือถือที่นำมาจากเมืองไทย มี Roaming แต่ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน [ก่อนที่จะเกิดอะไรแล้วคนที่เมืองไทยไม่รู้เลย ต้องรีบแก้ไขด่วน!!] ใช้เวลาจัดการเป็นชั่วโมง กว่าจะติดต่อที่เมืองไทยได้ [สภาพอากาศอาจมีผลเรื่องสัญญาณได้ การติดต่อที่สะดวกและประหยัดที่สุดคือ ให้ที่เมืองไทยใช้รหัสโทรทางไกลติดต่อเข้าเบอร์มือถือที่ Macau ครับ] ก่อนการเดินทางควรศึกษาเรื่องนี้ให้ดี และมีทางเลือกเผื่อไว้หลายๆแบบครับ
Senado Square & Best Night Shots
เอาล่ะ ถึงเวลาพร้อมผจญภัย... ผมเริ่มทำความคุ้นเคยจากการสำรวจแหล่งใกล้ๆโรงแรมก่อน เพียงเดินด้วยซอยทางลัดก็ออกมาโผล่ที่ Senado Square หมู่อาคารสุดสวยด้วยการจัดแสงสีมากมาย เดิมเป็นอาคารที่ทำการของ Macau ในช่วงภายใต้การปกครองของโปรตุเกส (ก่อนส่งคืนให้กับประเทศจีน) มีตึกเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีสและโบสถ์เก่าแฝงตัวมากมาย เนื่องจากออกมาค่ำมากและร้านค้าใกล้ปิดแล้ว (ปิดเร็วจัง..) ผมจึงเน้นออกมาถ่ายรูปสวยเพื่อกลับมาอวดทุกๆท่าน
แต่การมาถ่ายรูปด้วยตัวคนเดียว นอกจากจะสร้างความไม่คุ้นเคยและต้องใช้เวลาปรับตัวเยอะแล้ว ยังสร้างความประหลาดใจให้กับคน(จีน)รอบข้างอีกด้วย ปฏิกิริยาส่วนใหญ่ มักจะจ้องกันว่าผมกำลังทำอะไร มายืนทำหล่อนิ่งให้ใครดูก็ไม่รู้ พอเห็นกล้องที่ตั้งใกล้ก็แอบมามองดูภาพที่โชว์หลังถ่ายเสร็จด้วย ซึ่งทำให้ผมไม่กล้าโพสต์ท่ามากในช่วงแรก แต่พอเริ่มได้ภาพสวยๆก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ได้ภาพแปลกๆสวยในแบบที่ไม่เหมือนใครอย่างนี้เลยครับ
เทคนิคของผมคือ : “เลือกอาวุธให้ถูกสนามรบ” ปกติผมชอบใช้ SLR ตัวใหญ่ แต่ครั้งนี้ผมเลือกกล้องสะดวกพกพา CANON IXUS 100 IS กับขาตั้งกล้อง Gollira Pod ขนาดจิ๋วที่สามารถเกาะได้ทุกพื้นที่ ก็สามารถถ่ายรูปได้สวยเลิศไม่แพ้กัน [ไม่ได้โฆษณาขายของนะ] ข้อดี คือ เบา สะดวกถ่ายทุกจังหวะ สามารถถ่ายมุมแปลกได้ ตั้งแต่มุมเงย, เกาะตามเสาไฟ,ฯลฯ โดยเฉพาะการถ่ายกลางคืนที่ต้องอาศัยความนิ่งและต้องคล่องตัว เพราะมาคนเดียว [ตรวจเช็คความมั่นคงตรงจุดที่ขากล้องเกาะด้วย]
แค่เราตั้งกล้องโหมด Program / Isoต่ำๆ เพื่อความคมชัด / ปรับโหมดสีแบบ Vivid / ออกไปยืนนิ่งๆในที่พลุกพล่าน เช่น จุดคนข้ามถนน, ฉากหลังเป็นถนนที่รถวิ่งผ่าน,สถานที่ที่มีไฟสวยๆ,ฯลฯ บวกความบ้ามากๆที่คุณจะต้องกำกับภาพและกล้าโพสต์ท่าเอง กับความอดทนที่จะต้องวิ่งกลับไปมาเพื่อตั้งเวลาถ่ายภาพ และอาจได้ภาพสวยๆแค่ 2 จากใน 10 ภาพ แต่ถ้ามันทำให้คุณได้ภาพที่คุณจะไม่มีวันถ่ายได้อีกในชีวิตนี้ แค่ภาพเดียวผมว่าก็คุ้มแล้วครับ [บังเอิญผมได้หลายภาพ 5555 ] ผมใช้เวลาในการเดินถ่ายทั่วเมืองในคืนแรกถึงตี 2 ครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเมืองที่ไม่เคยหลับอย่างมาเก๊า กลับโรงแรมนอนอย่างมีความสุข
Day 2 หลงทาง...ฝ่าพายุ...ติดเกาะกลางมรสุม
ชีวิตมี 2 ด้านเสมอ แต่เรามักจะเห็นแต่ด้านที่สดใส....วันที่หนักหนาที่สุดสำหรับผมกำลังจะมาถึง.....
คืนแรกก่อนนอน...ผมจำเป็นต้องทานวิตามินรวมและโปรตีนเม็ดแล้วพักผ่อนเต็มที่ เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอ การเดินทางมาคนเดียวในต่างแดนไม่เอื้อต่อการเจ็บป่วยเท่าไหร่ เมื่อตื่นมารับเช้าวันใหม่ อาบน้ำแต่งตัว มีพลังเต็มเปี่ยม ผมวางแผนผจญภัยเต็มรูปแบบในวันที่สอง โดยเริ่มจากการขึ้นรถ เมล์ เป็นครั้งแรกในมาเก๊า โดยมีแผนที่สะดวกพกพาในมือ [ตัดจากหนังสือ] / เงินเหรียญแบบเตรียมพอดีเป๊ะ (ไม่มีการทอนครับ) / หน้ากากอนามัย (เพราะไม่แน่ใจเรื่องไข้หวัด 2009) ออกจากหน้าโรงแรมได้ เลี้ยวซ้าย เจอป้ายรถเมล์เลย แต่พอไปถึงป้ายรถเมล์ปุ๊บ งงเต็กเลย...ลองดูในภาพนะครับ
เราจะมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่จะหาชื่อสถานที่ที่เป็นภาษาจีน (ซึ่งอ่านไม่ออก) และภาษาอังกฤษ คำอ่านโปรตุเกส (ซึ่งผมก็อ่านออกเสียงไม่ได้อีก) กับการไล่เส้นทางทุกป้ายรถเมล์ ,การหาฝั่งขึ้นที่ถูกต้อง,การเช็คว่ารถจะเดินแบบวนรอบเมืองหรือเดินทางเดียว นี่คือสิ่งที่ต้องทำในการอ่าน 1 ป้าย บังเอิญมันมี 10 ป้าย และต้องทำก่อนที่รถสายที่เรารอจะมาถึง ....ซึ่งรถได้มาถึงแล้ว....ไวเกินความคิด...ผมขึ้นรถเลยครับ
อาศัยไหวพริบจากการหยิบกล้องมาถ่ายป้ายรถเมล์ไว้ก่อนแล้วค่อยมาดูภาพจากกล้องทีหลัง....เป็นอีกเคล็ดลับที่ดีมากๆครับ ผมเลือกสาย 12 ( เกิดจากการเดา เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก...เกินความคิด ) เพราะรถที่รอวิ่งผ่านไป 3 คันยังอ่านป้ายไม่หมด เลยต้องเลือกคันนี้ หวังใจว่ารถคันนี้จะพาผมไปจุดหมายแรก ณ จุดสูงสุดของมาเก๊า...ยอดเขาเกีย
ประภาคารเกีย (Guia Lighthouse)
เป็นไปตามที่คาดไว้คือ... “หลง”ครับ ขึ้นรถถูกคัน แต่รถไม่ขึ้นถึงยอดเขา วกกลับลงมาตีนเขาอีกที ลำบากต้องส่งสัญญาณมือ+ภาษาอังกฤษเพื่อคุยภาษาจีนกับคนบนรถ แต่ด้วยความกรุณาของทุกคน ทำให้ผมลงจุดที่สามารถขึ้นต่อรถสาย 12 ใหม่ แล้วมาลงตรงจุดสุดท้าย (เป็นโรงพยาบาลใหญ่) แล้วเดินเท้าต่อขึ้นสู่ยอดเขาเกีย
ฝนเริ่มโปรยปราย ซึ่งผมเตรียมเสื้อ Jacket ไว้รับมือเพราะคิดว่าสะดวกกว่าร่ม ใช้พันเอวป้องกันกล้องเปียกฝนได้อีกด้วย แต่ระหว่างทางพายุเริ่มกระหน่ำ อย่างหนัก เร่งเร้าให้ผมต้องวิ่งขึ้นเขาตลอดทาง เห็นแต่ยอดประภาคารไกลๆ คิดในใจว่าทำไมอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้ คุ้มกันไหม? แต่เมื่อมาถึงบนยอดเขาและเห็นประภาคารหายเหนื่อยเป็นปลิดพริ้งเลยครับ
จุดชมวิวยอดเขาบนยอดเขาแห่งนี้สวยมากครับ ด้วยความที่ไม่มีรั้วและกำแพงต่ำ ทำให้เรารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับทิวทัศน์ที่เห็นได้หมดทั้งเมือง อันเป็นจุดสูงสุดและเป็นยุทธศาสตร์ทางการรบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของมาเก๊า ที่มาของการสร้างประภาคารเกีย และอุโมงค์ยุทธศาสตร์ใต้หอ ซึ่งการขึ้นมาถึงบนยอดในเวลาแบบนี้ แทบจะเติมเต็มจิตวิญญาณผมและพิสูจน์ความมุ่งมั่นในใจ เราไม่สามารถโทษสภาพอากาศหรืออุปสรรคที่ทำให้เราลำบากได้ เราเป็นคนเลือกทุกอย่างเอง และเราจะมีทางออกของทุกเรื่องเสมอ...
ชีวิตก็เหมือนกับการขึ้นรถเมล์ในมาเก๊า...ไม่เตรียมเงินขึ้นรถมาพอดี จ่ายเงินเกินก็ถือว่าเป็นค่าซื้อบทเรียน ชีวิตจริงก็ไม่มีการทอนให้อยู่แล้ว จ่ายน้อยไปอดขึ้น...เสียโอกาส ในชีวิตเรามักจะลงผิดป้ายง่ายๆ ไม่ลงก่อนก็เลยป้าย เป็นความผิดของเราที่ไม่เตรียมข้อมูลหรือดูทางให้ดี บังเอิญว่า Backpack มาคนเดียว จะหันไปโทษใครก็ไม่ได้ซะด้วย แต่หลงทางยังไง ก็ต้องเดินกลับด้วยขาของตัวเองจนกว่าจะถึงปลายทางของเรา...
[ ข้อแนะนำ : ให้ลองหลงดูก่อนเลยครับ : ลองขึ้นรถเมล์สายไหนก็ได้รอบเมือง 1 รอบ เน้นสายที่วิ่งรอบเมืองและผ่านจุดสำคัญ เช่นสาย 21 A ไม่ว่าจะสุดสายตรงไหน ก็ให้นั่งย้อนกลับมาตรงจุดเดิม กินเวลาไม่น่าจะเกิน 1 ชม. จะทำให้เรารู้จักตัวเมืองโดยรอบ เข้าใจวิธีการขึ้นและการวิ่งของรถเมล์ อาศัยดูแผนที่ประกอบจะทำให้เข้าใจภาพรวมได้ง่ายขึ้น และอย่ากลัวการหลงทางครับ ]
Macua Cultural Center
หลังจากถ่ายรูปและชมวิวเต็มอิ่มแล้ว ผมตัดสินใจลงเขา หาอาหารทานแบบง่ายๆ และทดสอบบทเรียนชีวิตเดิม ด้วยการหลงอีกหลายครั้ง แต่ก็ทำให้ได้พบเส้นทางใหม่ / สถานที่ใหม่ เช่นจะไปแหล่ง Shopping ที่ Fisherman’s Wharf แต่ลงก่อนผิดป้าย ไปเจอ Macua Cultural Center พบกับนิทรรศการภาพผู้คนขณะประกอบอาชีพจริงในมาเก๊าที่ทำให้ผมเห็นภาพความจริงอีกมุมของมาเก๊า สร้างความประทับใจอย่างมาก
Fisherman’s Wharf
จากนั้นจึงกลับมาเดินเที่ยวต่อในแหล่งรวมร้านและจุดถ่ายรูปชื่อดังใน Fisherman’s Wharf ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มกระหน่ำหนักอีกครั้ง [ซึ่งผมน่าจะสังหรณ์ใจบ้าง] ตัดสินใจกลับที่พักด้วยรถ Taxi [พักการเรียนรู้ชีวิตด้วยรถเมล์และการหลงทาง] ไปพักยืดเส้นขาที่ล้าที่โรงแรมเพื่อกลับมาผจญภัยต่อในช่วงเย็น
กลับมาที่ Senado Square อีกครั้ง เดินเล่นชมและเก็บภาพความงามของประตูโบสถ์ St. Pual และมุมมองของเมืองลดระดับในแบบต่างๆ เพื่อที่จะพบว่าร้านค้าเริ่มปิดประตูเหล็กกันตั้งแต่ 17.00 น. ซึ่งถือว่าเร็วมาก และสภาพอากาศแปรปรวนด้วยลมกรรโชกแรงคล้ายฝนกำลังจะมา ทำให้ผมรีบตัดสินใจขึ้นรถเมล์ข้ามฝั่งไปเกาะ TAIPA อันเป็นที่ตั้งของ The Venetian คาสิโนที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามระดับโลก ซึ่งน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่จะมีที่เที่ยวถ่ายรูปในร่มขณะฝนตก โดยหารู้ไม่ว่า...ผมกำลังพาตัวเองเข้าไปสู่การติดเกาะครั้งที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม ท่ามกลางมรสุมไต้ฝุ่นระดับ 8 !!!!
ณัฐภณ วุฒิกานากร...(เอ บ้านผางาม)...เรื่อง / ภาพ
www.pangam.com
- สามารถติดตามการผจญภัยและเรื่องราวของผมทุกๆวันใน
www.twitter.com/meawba หรือ Follow@meawba นะครับ
ส่วนข่าวสารของที่บ้านผม บ้านผางาม เมืองผจญภัย
www.twitter.com/pangam หรือ Follow@pangam ครับ - เอาแต่เที่ยวไม่ทำงานเลย ต้องโดนดุแน่ครับ !! T_T ขอฝากประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ บ้านผางาม ไว้ 2 เรื่องนะครับ
- 13-14 ก.พ. 52 “ วิวาห์ผจญภัย และ บันทึกรักกลางภูผาปีที่ 7 ”
เปิดรับสมัครคู่บ่าวสาวที่ต้องการพิสูจน์รักแท้และจดทะเบียนสมรสกลางหน้าผา เพียง 3 คู่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย [ ที่พัก+อาหาร+กิจกรรม ] ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www. ครับpangam.com - 20-21 ก.พ. 52 กับการรวมตัวผจญภัยครั้งแรกของชาว Twitter กลางฟ้ากว้างบนยอดขุนเขาในงาน “TwitPJ” ที่บ้านผางาม เมืองผจญภัย