10 จุดชมวิวภาคอีสาน ยิ่งสูง ยิ่งสวย
ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งที่ราบสูง ภาคอีสานเลยอุดมไปด้วยภูผาและเทือกเขาน้อยใหญ่ ท่ามกลางผืนป่าอันเขียวขจี ผสานด้วยวัฒนธรรมที่น่าตื่นตา หนาวนี้หากใครกำลังมองหาแหล่งท่องเที่ยวรับลมหนาว จุดชมวิวสวยๆ ไว้ทอดสายตาจากมุมสูง ตามเว็บไซต์เที่ยวอีสาน (http://i-san.tourismthailand.org/) มาไต่ระดับ 10 พิกัดเหล่านี้ แล้วมาร้องว้าว! กับทิวทัศน์สุดอลังการไปด้วยกัน
1.อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
สำหรับนักเดินทางขาลุย ยอดภูกระดึง คงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องมาเช็คอินซักครั้งในชีวิต เพราะความท้าทายของระยะเดินเท้าขึ้นเขากว่า 9 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลา 4-6 ชั่วโมงในการไต่ระดับขึ้นไปจนถึงยอดภู แต่ความสวยงามของป่าสนและธารน้ำตกบนนั้นก็ตอบแทนหยาดเหงื่อของนักเดินทางอย่างคุ้มค่า โดยจุดชมวิวที่กลายเป็นภาพจำของภูกระดึงนั่นคือ ผาหล่มสัก ที่มีชะง่อนหินยื่นออกไปกับกิ่งสน มุมถ่ายภาพสุดฮิตที่ใครก็ต้องมาต่อคิวรอเวลาพระอาทิตย์ลับฟ้า นอกจากนี้ก็ยังมีผานกแอ่น ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งแทบทุกคนที่ขึ้นมาบนภูกระดึงจะต้องตื่นมารับอรุณด้วยกัน
ที่ตั้ง : ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เดินขึ้นลงภู 07:00–14:00 น. ทุกวัน ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤษภาคม
โทร. : 042 810 833, 042 810 834
2.อุทยานแห่งชาติภูเรือ
ใครที่อยากสัมผัสอากาศ “หนาวสุดแดนสยาม” จนถึงขั้นเห็นแม่คะนิ้ง ต้องมาที่นี่ จุดชมวิวที่รู้จักกันดีคือ ผาโหล่นน้อย ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม และหากเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 700 เมตร จะพบกับ ยอดภูเรือ ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,365 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทั้งแม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขง ซึ่งกั้นระหว่างพรมแดนไทย-ลาว นอกจากจะได้ชมแสงสาดกระทบยอดเขาอย่างงดงามแล้ว บนนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพต มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมดอกไม้ป่าช่วงหน้าหนาว และบริการลานกางเต๊นท์อีกด้วย
ที่ตั้ง : ต.หนองบัว อ.ภูเรือ จ.เลย
เวลาเปิด-ปิด : 05:30–20:00 น. ทุกวัน
โทร. : 042 810 965, 088 509 5299
3.ภูป่าเปาะ
เป็นจุดชมวิวที่สามารถมาได้ทั้งวัน โดยไฮไลท์อยู่ที่วิว “ภูหอ” หรือเรียกเก๋ๆ ว่า “ฟูจิเมืองเลย” ซึ่งถือเป็นวิวที่ใครต่างก็ตั้งใจนั่งรถอีแต๊กชาวบ้านขึ้นมาชมกัน ลักษณะเป็นภูเขายอดตัดราบ มองไกลๆ คล้ายชามคว่ำดูแปลกตา จนมีคนเชื่อมโยงว่าเหมือนภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่นเพียงแต่ไม่มีหิมะปกคลุมเท่านั้นเอง บนยอดภูป่าเปาะมีจุดชมวิวเตรียมไว้ให้ถึง 4 จุด โดยจุดชมวิวที่อยู่สูงสุดจะสามารถมองเห็นวิวได้รอบตัว 360 องศา เรียกว่าจะมารอพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมสายหมอก หรือจะมาชมพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติกก็ได้ ทิวทัศน์ที่เห็นก็สวยงามแตกต่างไปในแต่ละฤดูกาล สามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี
ที่ตั้ง : ต.ปวนพุ อ.หนองหิน จ.เลย
เวลาเปิด-ปิด : 05:00–18:00 น. ทุกวัน
โทร. : 042 894 254, 089 764 6829
4.จุดชมวิววัดผาตากเสื้อ
เป็นจุดชมวิวสกายวอล์กทรงเกือกม้ายาว 16 เมตร ที่สามารถเดินออกไปชมวิวพาโนรามาน่าตื่นตาของแม่น้ำโขงกว้างใหญ่ไกลถึงฝั่งสปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้าน แถมในช่วงน้ำลดยังสามารถมองเห็นสันทรายเป็นคลื่นคล้ายเกล็ดพญานาคจากระยะไกลด้วย ส่วนใครที่อยากมาสัมผัสทะเลหมอกจะต้องมาเช้าหน่อย โดยเฉพาะช่วงหลังคืนฝนตกและฤดูหนาวที่หมอกจะลอยตัวคลุมเหนือพื้นด้านล่างจนมิด กลายเป็นวิวสุดอลังการราวกับยืนอยู่เหนือปุยเมฆก็ไม่ปาน ชมวิวแล้วก็อย่าลืมเดินขึ้นบันไดนาคไปสักการะพระประธานบนพระอุโบสถของวัด พร้อมกับทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่ตั้ง : ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย
เวลาเปิด-ปิด : 09:30–16:30 น. ทุกวัน
โทร. : 082 261 4564
5.ภูห้วยอีสัน
เป็นจุดชมวิวลำน้ำโขงที่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชื่อนัก จุดนี้อยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกได้อย่างสวยงามอีกแห่งหนึ่งของจ.หนองคาย เมื่อนั่งรถอีแต๋นที่จัดไว้บริการนักท่องเที่ยวขึ้นมาถึงจุดชมวิวสูงสุด จะมองเห็นทั้งบ้านเรือนในอ.สังคม จ.หนองคาย ลำน้ำโขง และเกาะแก่ง ที่คั่นระหว่างชายแดนไทย-ลาว พร้อมด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง ความงดงามอยู่ที่เวลาพระอาทิตย์เริ่มสาดกระทบสายหมอกและลำน้ำโขง บรรยากาศทุ่งหญ้ารอบตัวจะทาไปด้วยสีส้มอุ่นๆ ราวกับอยู่ในความฝัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือระหว่างเดือนตุลาคม-พฤษภาคม
ที่ตั้ง : อ.สังคม จ.หนองคาย
เวลาเปิด-ปิด : 05:30–08:00 น. ทุกวัน
โทร. : 042 414 871, 087 219 5500
6.ผารักษ์สลัดได
ใครที่อยากเห็นธรรมชาติของอ.วังน้ำเขียวแบบไม่ปรุงแต่ง ขอให้มาเยือนที่จุดชมวิวแห่งนี้บนทางขึ้นเขาสลัดได ซึ่งเป็นจุดชมวิวมุมกว้างที่งดงามโดยเฉพาะช่วงหน้าฝนถึงหน้าหนาว และอาจมีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกลอยปกคลุมอ.วังน้ำเขียวจากระดับความสูงถึง 700 เมตร หรือจะมาชมแสงไฟระยิบระยับจากตัวเมืองก็ได้เช่นกัน เหมาะมากที่จะขึ้นมาชมวิวทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก โดยทางเข้าจะอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 304 กิโลเมตรที่ 72 สังเกตป้ายสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคม ทหารอากาศเขาสลัดได เส้นทางนี้เป็นถนนเลนเดียวขึ้นเขา จึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง
ที่ตั้ง : อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
เวลาเปิด-ปิด : 05:00-19:00 น. ทุกวัน
7.หินสามวาฬ
แหล่งท่องเที่ยวของ จ.บึงกาฬ ที่หลายคนอาจเพิ่งเคยรู้จัก อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า ภูสิงห์ โดดเด่นด้วยภูเขาหินทราย หน้าผา ถ้ำ กลุ่มหินรูปทรงต่างๆ และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยหินสามวาฬมีลักษณะเป็นภูเขาหินทรงมนทอดตัวยาวเรียงกัน 3 ก้อน มองจากทางอากาศจะเห็นคล้ายเป็นวาฬพ่อ แม่ ลูก ว่ายน้ำด้วยกัน ซึ่งน้ำในที่นี่ก็คือผืนป่าที่เขียวขจีนั่นเอง และเมื่อมองจากบนหินสามวาฬออกไป จะพบกับทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขง และขุนเขาของเมืองปากกระดิ่ง สปป.ลาว หากมาในยามเช้าก็อาจได้เห็นทะเลหมอกลอยละล่องเหนือผืนป่าอีกด้วย
ที่ตั้ง : ต.คกก่อง อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ
เวลาเปิด-ปิด : 06:00–17:00 น. ทุกวัน
โทร. : 088 563 8852
8.ภูทอก
เป็นจุดชมวิวที่สามารถมาได้ทั้งวัน ทั้งมาชมทะเลหมอกยามเช้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ที่หากใครมีโอกาสมาเยือน อ.เชียงคาน จ.เลย ก็ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมารอแสงแรกส่องลงบนผืนหมอกหนานุ่ม ในขณะที่ยามเย็น วิวพระอาทิตย์ตกจากบนนี้ก็สวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งนอกจากความงดงามตามธรรมชาติแล้ว ยังจะได้เห็นทั้งทิวทัศน์มุมสูงของตัวเมืองเชียงคาน ฝั่งตรงข้ามคือเมืองสานะคาม สปป.ลาว มีลำน้ำโขงคั่นกลาง เรื่อยไปจนถึงแก่งคุดคู้ ที่ตรงสุดโค้งน้ำด้วย
ที่ตั้ง : ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย
เวลาเปิด-ปิด : 05:30-18:00 น. ทุกวัน
9.ผามออีแดง
เป็นจุดชมวิวที่อยู่ติดชิดชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา และยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารของฝั่งไทยด้วย เรียกว่าเป็นบริเวณที่เคยรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมขอม จากบรรดาสถูปและปราสาทหลายแห่งที่กระจายอยู่ในบริเวณนี้ รวมไปถึงปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวผามออีแดงนี้เช่นกัน นอกจากนี้ใต้หน้าผายังมีทางเดินให้ลงไปชมภาพสลักนูนต่ำอายุกว่า 1,000 ปีด้วย ส่วนใครที่อยากมาสัมผัสทะเลหมอกต้องรีบมาแต่เช้า โดยเฉพาะวันที่คืนก่อนมีฝนตกก็จะมีโอกาสได้เห็นหมอกลอยล่องเหนือผืนป่าเขียวขจี และโอบล้อมเทือกเขาฝั่งกัมพูชาอย่างชัดเจน
ที่ตั้ง : ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
เวลาเปิด-ปิด : 05:30–18:00 น. ทุกวัน
โทร. : 045 826 045
10.อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
หลายคนคุ้นเคยกับที่นี่จากกลุ่มภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์อายุกว่า 3,000-4,000 ปี ซึ่งก็เป็นเพียงไฮไลท์หนึ่งของที่นี่เท่านั้น เพราะพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติผาแต้มยังครอบคลุมแนวเทือกเขาที่กั้นพรมแดนไทย-ลาว รวมไปถึงภูผาต่างๆ อย่าง ผาชนะได ซึ่งถือเป็นจุดที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรกของไทย หลายคนจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นบนนี้ในวันขึ้นปีใหม่ นอกจากนี้ ผาแต้ม ก็ถือเป็นอีกจุดชมวิวลำน้ำโขงที่สวยงามไม่แพ้กัน ยิ่งถ้ามาเที่ยวช่วงกันยายน-ตุลาคม ก็จะได้ชมความงามของดอกไม้ป่าที่เบ่งบานอยู่ทั่วลานหินบนผาแต้มอีกด้วย
ที่ตั้ง : ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
เวลาเปิด-ปิด : 06:00–18:00 น. ทุกวัน
โทร. : 045 252 581
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: http://i-san.tourismthailand.org/)