Away Koh Kood Resort 3 วัน 2 คืน ทิ้งโลกทั้งใบ ไปผจญภัยบนเกาะในฝัน
หากจะพูดถึงเกาะสวยๆ ในเมืองไทย นักท่องเที่ยวหลายคนคงจะคิดถึงหลายๆ เกาะในฝั่งทะเลอันดามันกันเป็นอันดับแรกๆ แน่นอน
แต่วันนี้ Sanook! Travel จะพาคุณไปพิสูจน์ว่าทะเลในฝั่งอ่าวไทยทางภาคตะวันออกของประเทศไทยอย่างจังหวัดตราด ก็มีเกาะที่สวยงาม น้ำทะเลที่ใสสะอาดไม่แพ้ฝั่งอันดามันอยู่เช่นกัน
ที่ที่เราพูดถึงนี้ก็คือ เกาะกูดนั่นเอง และที่สำคัญที่สุดคือเกาะกูดแห่งนี้มีความเงียบสงบแบบที่คุณหาไม่ได้แน่นอนบนเกาะในฝั่งทะเลอันดามัน
เราได้มีโอกาสเดินทางไปเกาะกูด โดยจุดมุ่งหมายและที่พักของเราในวันนี้ก็คือ Away Koh Kood Resort รีสอร์ทแนว ECO ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่รายล้อม
เริ่มต้นทริปนี้เราไปขึ้นเรือกันที่ ท่าเรือแหลมศอก จังหวัดตราด จากแผ่นดินใหญ่ เราใช้เวลาเดินทางมาถึงเกาะประมาณ 1.30 ชม. เรือมาจอดส่งเราที่หน้ารีสอร์ทพร้อมกับสายฝนพรำที่ตกลงมาต้อนรับเรา
ก้าวแรกที่ได้เข้ามาที่ Away Koh Kood Resort รู้สึกได้เลยว่าที่นี่คือรีสอร์ทริมทะเลที่มีความเป็น Green Zone มีความร่มรื่นและความเป็นธรรมชาติอยู่มากจริงๆ รอบๆ รีสอร์ทมีการปลูกต้นไม้และตกแต่งสวนไว้อย่างสวยงาม
หลังจากเช็คอินรับกุญแจเสร็จแล้วก็ได้เวลาออกเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ ซึ่งระหว่างนั้นฝนที่ตกลงมาในตอนแรกและกำลังจะกลายเป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยวของเราก็ได้หยุดลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เผยให้เห็นความสวยงามของท้องทะเล ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวเราเมื่อได้เห็นภาพความงดงามของธรรมชาติทั้งต้นไม้ใบหญ้าและชายหาดหน้ารีสอร์ท
ฟ้าที่เคยมืดมิดจากเมฆฝนค่อยๆ แปรเปลี่ยนมีแสงแดดส่องลงมา เผยให้เห็นถึงความใสสะอาดของน้ำทะเล ที่นี่น้ำใสไม่แพ้ฝั่งอันดามันเลยจริงๆ
หลังจากเดินเล่นถ่ายภาพกันจนเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าไปสำรวจห้องพักและพักผ่อน ห้องพักของเราตลอด 2 คืนนี้เป็นห้องแบบ Deluxe Oceanfront Bungalow บังกะโลที่ตั้งอยู่หน้าชายหาด เป็นไฮไลท์ของทางรีสอร์ทที่ถือว่าตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่ดีที่สุดของรีสอร์ทนี้เลย
ความใฝ่ฝันในวัยเด็กที่อยากจะมีบ้านหลังเล็กๆ ริมทะเล เราสามารถสัมผัสได้จริงๆ แล้วในตอนนี้ บังกะโลที่สร้างด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว
เมื่อเดินขึ้นไปบนบังกะโลเราจะได้พบกับโซฟากลมตัวใหญ่และโต๊ะทานข้าว พร้อมกับชั้นหนังสือ ซึ่งมุมนี้น่าจะเป็นมุมโปรดของใครหลายๆ คนที่ต้องการจะใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ นอนอ่านหนังสือบนโซฟา ปล่อยให้ลมทะเลพัดมาสัมผัสกับตัวเรา เป็นบรรยากาศที่ชิลมากจริงๆ
ภายในห้องพักตกแต่งในสไตล์บูทีค มีเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่ 2 เตียง สำหรับใครที่มากันเป็นครอบครัวสามารถนอนกันได้แบบสบายๆ
ห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน ทั้งทีวี ไดร์เป่าผม ตู้เย็น และเครื่องอาบน้ำต่างๆ และที่ดีที่สุดสำหรับบางวันที่แดดร้อนๆ ก็คือ มีผลไม้เย็นๆ ทั้งแตงโมและสับปะรดไว้ให้ทานแก้ร้อนด้วย
เมื่อได้เจอเตียงนุ่มๆ และแอร์เย็นๆ แบบนี้พอได้ลงไปนอนเล่นไม่นานนักความง่วงก็เริ่มมาเยือน และแล้วภาพก็ตัดไป! ตื่นมาอีกทีหนึ่งก็ได้เวลาไปลุยกันต่อ
ช่วงเวลาประมาณบ่ายแก่ๆ แดดร่มลมตกพอดี เป็นช่วงเวลาที่ดีในการหาเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว ไปนั่งรับลมเย็นๆ ริมทะเล เราไม่รอช้ารีบตรงไปสู่บาร์สุดชิลของทางรีสอร์ทที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า Cast Away
ซึ่งเป็นชื่อมาจากหนังแนวติดเกาะของ Hollywood นั่นเอง ซึ่งใครที่เคยดูหนังเรื่อง Cast Away มาก่อน มาที่บาร์ Cast Away แห่งนี้คุณจะได้พบกับเจ้า Willson ลูกวอลเล่ย์บอลเพื่อนซี้ของพระเอกด้วย
ภายในบาร์ตกแต่งสไตล์ Tropical ได้อารมณ์แบบชาวเกาะจริงๆ อีกทั้งยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำอีกหลายอย่าง ทั้งโต๊ะพูล โต๊ะมินิฟุตบอล หรือกระดานปาเป้า เป็นอีกหนึ่งที่แฮงค์เอ้าท์ปาร์ตี้ที่จะทำให้วันหยุดพักผ่อนของคุณมีชีวิตชีวามากขึ้นแน่นอน
หลังจากเดินดูรอบๆ บาร์ได้ไม่นานไฮไลท์ที่เรารอคอยก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า เครื่องดื่มค็อกเทลหลากหลายรูปแบบให้เราได้เลือกสรร แต่ละแบบมีสูตรการผสมที่แตกต่างกันออกไป
ใครที่ชอบดื่มรสชาติแบบไหนสามารถบอกพี่บาร์เทนเดอร์ได้ เดี๋ยวพี่ๆ เขาจะจัดให้ตรงตามใจเราแน่นอน เมื่อได้ค็อกเทลกันมาแล้วก็ได้เวลานั่งชิลในบาร์ซึมซับบรรยากาศที่แสนจะสบายใจเหมือนทิ้งโลกทั้งใบไว้เบื้องหลัง
นั่งกันชิลๆ คุยกับแก๊งเพื่อนซี้ไปเพลินๆ แสงอาทิตย์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า ช่วงเวลาของวันแรกในเกาะกูดใกล้จะหมดลงแล้ว แต่กิจกรรมของเราในวันนี้ยังไม่จบ!
เพราะไฮไลท์สำคัญที่เราจะทำกันในวันนี้ ก็คือการนั่งเรือสปีดโบ๊ทออกชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเล เรารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะปกติแล้วเคยแต่ชมพระอาทิตย์ตกบนฝั่งไม่เคยได้นั่งเรือออกไปชมกลางทะเลเลยสักครั้ง
นี่จึงเป็นครั้งแรกสำหรับเรา ทุกคนไม่รอช้า รีบไปพร้อมกันที่ท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เราก็พาตัวเองมาลอยอยู่กลางทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ระหว่างนั้นพระอาทิตย์ดวงโตที่เคยส่องแสงร้อนแรงมาตลอดทั้งวัน ก็ค่อยๆ ลาลับร่วงหล่นลงสู่กลุ่มเมฆ ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมทองสะท้อนแสงลงมาบนผิวน้ำ สร้างความประทับใจให้เราทุกคนอย่างมาก
และเท่านั้นยังไม่พอเมื่อดวงอาทิตย์หลับหายไปในก้อนเมฆจนเกือบจะหมดแล้ว ก็เกิดเรื่องเซอไพรส์ขึ้นกับพวกเราทุกคน เพราะมีแสงขนาดใหญ่ ส่องออกมาเป็นแฉกๆ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นแสงสีชมพูปนแดงที่ดูแปลกตามาก
ทุกคนต่างถูกสะกดไว้ด้วยความสวยงามของท้องฟ้าในวันนั้น ราวกับว่านี่คือการแสดงโชว์จากธรรมชาติที่มีเฉพาะเรือของเราเท่านั้นที่ได้เห็น
ช่วงเวลากว่า 10 นาที ที่ท้องฟ้าเผยความมหัศจรรย์ให้เราได้เห็นนี้ ได้กลายเป็นความทรงจำที่เราทุกคนต่างยกให้เป็นพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว และนี่ก็เป็นโมเมนต์สุดท้ายปิดฉากวันแรกในเกาะกูดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เช้าวันต่อมาทุกคนต่างรีบอาบน้ำแต่งตัวและออกมากินข้าวเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง เพราะวันนี้เราจะไปเที่ยวรอบเกาะกูดกัน และมีดำน้ำในช่วงบ่ายด้วย
เริ่มต้นทริปของเราในวันนี้ พี่คนขับรถพาเรามุ่งหน้าสู่บ้านอ่าวใหญ่ หมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้านที่ยังคงใช้ชีวิตตามวิถีแห่งชาวทะเลอย่างเข้มแข็ง ที่นี่เราจะได้พบกับสะพานจอดเรือที่ยื่นออกไปในทะเลเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสวยๆ ในการถ่ายภาพ
นอกจากนี้ยังได้เดินชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของชาวประมงในหมู่บ้าน หลายๆ บ้านขายอาหารซีฟู้ดเป็นๆ ให้กับนักท่องเที่ยวด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดเลยจากที่นี่ก็คือ
บริเวณรอบๆ หมู่บ้านมีหอยเม่นเยอะมาก! ใช่ครับ หอยเม่นที่เป็นอาหารราคาแพงในภัตตาคารญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ในหมู่บ้านนี้มีเยอะซะจนมองไปทางไหนก็เจอแต่หอยเม่นเต็มไปหมด
เดินถ่ายรูปเล่น พูดคุยกับชาวบ้าน ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิด รวมถึงซื้อของฝากติดไม้ติดมือกันจนพอสมควรแล้วก็ได้เวลาบอกลาหมู่บ้านอ่าวใหญ่ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวบนเกาะกูดที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
ต่อมาเราไปเปลี่ยนแนวกันบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าบนเกาะกลางทะเลแห่งนี้จะมีน้ำตกที่สวยงามแบบนี้อยู่ด้วย กับน้ำตกคลองเจ้า น้ำตกใหญ่ของทะเล อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญบนเกาะกูด
โดยเมื่อรถของเรามาจอดที่ด้านหน้า เราจะต้องเดินเท้าเข้าไปสู่น้ำตกคลองเจ้าอีกประมาณ 500 เมตร ระหว่างทางเดินนั้นขอบอกเลยว่าธรรมชาติมากๆ เราทุกคนเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางการปกคลุมของป่าไม้
เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่าที่เขียวขจี เสียงน้ำตกที่เราได้ยินมาตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาก็เริ่มชัดและดังขึ้น และไม่นานเราก็ได้พบกับน้ำตกที่น่ามหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยเลยทีเดียว
อาจจะเพราะในวันที่เราไปนั้นมีน้ำมากและใสสะอาดเพราะฝนเพิ่งจะตก หรืออาจจะเพราะเราไม่ได้คาดหวังถึงความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ไว้มากนัก จึงทำให้เราตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้มาพบเจอกับน้ำตกคลองเจ้าจริงๆ
ที่นี่สวยงามมาก เป็นหน้าผาน้ำตกที่มีสายน้ำขนาดใหญ่สาดลงมาด้านล่าง น้ำเบื้องล่างมีความใส ออกสีเขียวๆ คล้ายๆ สระมรกตก็ไม่เชิง แต่ไม่ขุ่นเลยสักนิด ใครมาเห็นก็คงอยากจะรีบกระโดดลงไปสัมผัสความเย็นสบายในน้ำตกนี้กันแทบทุกคน
หลายๆ คนลงเล่นน้ำในน้ำตกอย่างสนุกสนาน บางคนเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ บางคนดื่มด่ำกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอย่างมีความสุข เป็นอีกหนึ่งวันที่เราโชคดีได้พบเจอกับความสวยงามของธรรมชาติอย่างที่ใจต้องการจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินทางออกจากน้ำตกคลองเจ้ามุ่งหน้ากลับสู่โรงแรมของเราทานข้าวเที่ยงเติมพลังก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการเดินทางสู่ใจกลางท้องทะเลเพื่อไปชมโลกใต้ทะเลอันงดงามของทะเลตราดกัน
เมื่อแสงแดดเริ่มอ่อนตัวลงเรือของเราก็แล่นออกจากท่าเรือทันทีโดยจุดมุ่งหมายของเราในการดำน้ำวันนี้คือ เกาะแรด เป็นเกาะบริวารของเกาะกูดอีกทีหนึ่งซึ่งเกาะแห่งนี้จะไม่มีชายหาดให้ขึ้นไปชมแต่เป็นจุดดำน้ำที่มีปะการังเยอะมาก
เมื่อเรือของเราเดินทางมาจนถึงเกาะแรดเป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกคนต่างพร้อมจะดำน้ำ เราไม่รอช้ารีบคว้าเสื้อชูชีพ พร้อมทั้งสน็อคเกิ้ลมาเตรียมพร้อมและกระโดดลงสู่ผืนน้ำด้วยความตื่นเต้น
ไม่น่าเชื่อว่าใต้ท้องทะเลทางฝั่งอ่าวไทยอย่างจังหวัดตราดนี้จะมีความงดงามของธรรมชาติซุกซ่อนอยู่ น้ำทะเลใสแจ๋วสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งใต้ผืนน้ำได้อย่างชัดเจนและยิ่งมีแสงแดดส่องลงมาช่วยให้การมองเห็นใต้ผืนน้ำของเราง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
เราสามารถมองเห็นแนวปะการังขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ผืนน้ำได้อย่างชัดเจน ดำน้ำกันได้แบบเพลินๆ แต่อยู่ๆ ด้วยความที่ว่าวันนี้แดดออกและน้ำค่อนข้างใสมาก เราจึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากอยู่ด้านหน้าแต่มองจากระยะไกลเรายังเห็นไม่ชัดว่าคืออะไร
เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องว่ายเข้าไปให้ใกล้กว่านี้เพื่อที่จะได้เห็นชัดๆ ให้รู้กันว่ามันคืออะไรกันแน่ อย่าเพิ่งตกใจกันไปครับ ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด! เพราะเมื่อว่ายเข้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นวัตถุนี้ได้แล้วจึงได้รู้ว่านี่คือช้างนั่นเอง!
งงสิครับ ช้างมาอยู่กลางทะเลแบบนี้ได้อย่างไร แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่ช้างนะครับ มีทั้งช้าง ม้า วัว ควาย เต็มไปหมด เรียกได้ว่านี่คือซาฟารีกลางทะเลเลยทีเดียว
แท้จริงแล้วสัตว์เหล่านี้คือรูปปั้นที่มีคนนำมาทิ้งเพื่อให้เกิดเป็นแนวปะการังมาก่อตัว เป็นการขยายแนวปะการังต่อไปในอนาคตนั่นเอง ซึ่งนี่ถือเป็นความแปลกใหม่ในการดำน้ำที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนแน่นอน
หากใครมีโอกาสมาดำน้ำที่นี่แล้วเจอช้างใต้น้ำก็อย่าตกใจกันไปนะครับ เป็นเพียงแค่รูปปั้นเท่านั้นเอง เมื่อดื่มด่ำกับความงดงามใต้ท้องทะเลกันจนพอใจแล้ว พี่คนขับใจดีพาเราไปเที่ยวต่อกันที่ชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับเกาะแรด
เราลืมถามพี่เขาว่าชายหาดแห่งนี้ชื่อว่าอะไร รู้แต่ว่าที่นี่เงียบสงบไร้ซึ่งผู้คนแม้แต่คนเดียว น้ำทะเลใสสะอาดขนาดที่ว่ามองลงไปเห็นพื้นทะเลได้จากบนเรือ มีชายหาดทอดยาวและทรายที่เนียนละเอียด เหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างมาก ไม่มีผู้คนมาวุ่นวายแน่นอน
นอกจากนี้โปรแกรมทัวร์ดำน้ำของเรายังไม่หมด เพราะพี่คนขับยังพาเราไปตกปลากลางทะเลต่ออีก ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกสำหรับเรา
จากนั้นจึงพาทุกคนกลับมาส่งที่ท่าเรือ Away Koh Kood Resort เมื่อมาถึงรีสอร์ท เราไม่รอช้ารีบไปนำเรือคายักพายออกไปกลางทะเลเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกของวันนี้ หลังจากที่ติดใจความสวยงามจากพระอาทิตย์ตกเมื่อวาน
โดยที่ Away Koh Kood Resort แห่งนี้จะมีให้ยืมทั้งเรือคายัก และแพดเดิ้ลบอร์ด ให้พายเล่นกันบริเวณหน้ารีสอร์ทด้วย ใครที่อยากจะล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกแบบชิลๆ ในยามเย็นต้องห้ามพลาด เป็นช่วงเวลาที่สวยงามมากจริงๆ
ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเนื่องจากเที่ยวกันมาอย่างหนักหน่วงกันทั้งวัน แต่เราเชื่อว่าความเหนื่อยล้านั้น นอนพักวันเดียวก็หาย แต่ประสบการณ์และความประทับใจในวันนี้นั้นจะคงอยู่กับเราไปตลอดกาล
เราปิดท้ายวันนี้ด้วยดินเนอร์สุดโรแมนติก ณ ห้องอาหาร Escape บอกตรงๆ เลยว่าอาหารมื้อนี้ทำให้เราประทับใจตั้งแต่แรกที่ได้มาเห็นการจัดแต่งโต๊ะ พนักงานบริการและดูแลเป็นอย่างดี
ในส่วนของอาหาร จะเน้นเป็นเมนูอาหารพื้นบ้านที่ใช้วัตถุดิบจากท้องทะเล เช่น กุ้งคั่วพริกเกลือ กุ้งพล่า ถั่วฝักยาวผัดกะปิกุ้งแห้ง ปลากะพงสามรส เป็นต้น รสชาติอาหารจัดจ้านอร่อยมากๆ
นั่งทานอาหารฟังเสียงคลื่นพร้อมกับซึมซับกับบรรยากาศคืนสุดท้ายบนเกาะกูด เป็นอีกหนึ่งวันที่สร้างความประทับใจให้เราทุกคนไปอีกนาน
และแล้ววันสุดท้ายบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ก็มาถึง ได้เวลาเดินทางกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง หลายๆ คนอาจจะกลัวการติดเกาะ แต่สำหรับเราถ้าให้มาติดเกาะที่นี่คือความสุขที่ไม่มีวันเบื่อ
เกาะกูดทำให้เราสามารถทิ้งโลกที่แสนวุ่นวายไว้ข้างหลัง ทำให้เข้าใจความสวยงามของธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์ ความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และช่วงเวลาสุดพิเศษที่เกิดขึ้นในเกาะแห่งนี้ตลอด 3 วันที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากกับการเดินทางมากว่า 6 ชั่วโมง
และสุดท้ายคำถามในใจเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่าต่อให้เป็นทะเลหรือเกาะฝั่งอ่าวไทย แต่หากยังคงรักษาธรรมชาติให้ยังคงสมบูรณ์สวยงามไว้ได้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ในประเทศไทยก็ยังคงสวยงามเสมอและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ข้อมูลเพิ่มเติม Away Koh Kood Resort
อเวย์เกาะกูดรีสอร์ท ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 30 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักแบบต่าง ๆ ดังนี้
- ห้องพักแบบ Deluxe Oceanfront Bungalow จำนวน 10 ห้อง
- ห้องพักแบบ Deluxe Ocean Facing Bungalow จำนวน 10 ห้อง
- ห้องพักแบบ Duplex Bungalow จำนวน 10 ห้อง
ที่อยู่ : 43/8 หมู่ 2 บ้านคลองเจ้า ตำบลเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด 23000
เบอร์ติดต่อ : +668 7136 4036, +668 1835 4517
อีเมล : book.akk@AwayResorts.com
เว็บไซต์ : www.AwayResorts.com
Facebook : Away Koh Kood Resort
อัลบั้มภาพ 131 ภาพ