สวัสดีครับ ! วันนี้ สนุก ! ท่องเที่ยว ได้นำรีวิวทริปท่องเที่ยว ญี่ปุ่นแบบตะมุตะมิมาฝากทุกท่านให้ได้ติดตามกันอย่างเต็มอิ่ม 5 วันเลยทีเดียว สามารถติดตามและนำไปประกอบแพลนการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้อีกด้วย ไปชมกันเลยครับ !
------------------------------------------------------------------------
ไปแล้วต้องไปซ้ำ ใครที่เคยไป ประเทศญี่ปุ่น ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ต้องบอกเลยว่าลูกเกดเคยมาเที่ยวฮอกไกโดที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ตอนนั้นไปกับทัวร์อารมณ์มันยังไม่สุด อยากจะสัมผัสถึงความเป็นญี่ปุ่นมากกว่านี้
เมื่อถึงเวลาเก็บเงินและหาคนที่พร้อมจูงมือเดินทางก็คือ แฟนหน้าหนวด คนนี้ที่เป็นคนจัดการช่วยทำแพลนและตามหาร้านอาหารอร่อยๆ ร้านนี้ดี ร้านไหนเด็ด หรือสถานที่ไหนที่จะไป
คุณแฟนลิสต์ไว้เลยว่าไปยังไง เพื่อสะดวกต่อการบริหารเวลาในการเดินทาง
ว่าแล้วถึงเวลาจองตั๋วและที่พัก เผื่อบินลัดฟ้าไปลั้นลาที่โตเกียว 5 วัน 4 คืน
ครั้งนี้ลูกเกดเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ XJ 600 จองล่วงหน้าประมาณ 6-7 เดือน ค่าตั๋วรวมน้ำหนักแล้วประมาณ หมื่นต้นๆ ไม่เกิน 12,000 บาท ต่อคน
วันที่ 1 เวลา 23.00 เริ่มเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง
ถึงแล้วสนามบินนาริตะ (Narita Airport) เมืองโตเกียว เวลาประมาณ 08.00 สิ่งแรกที่ต้องทำมุ่งหน้าไปชั้น B1 เพื่อซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner
ซึ่งเป็นสายที่มุ่งหน้าเข้าสู่สถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno) โดยใช้เวลา เพียงแค่ 40 นาที เท่านั้น สำหรับราคาตั๋วนั้น ลูกเกดซื้อแบบไป-กลับ ประมาณ 4,000 เยน แถมนั่ง Tokyo Subway ฟรีได้อีก 24 ชั่วโมง
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner เสร็จ เราจัดการซื้อตั๋วรถไฟแบบ JR Tokyo Wide Pass (จุดขายตั๋วอยู่ใกล้กับ Keisei Skyliner) ในราคา 10,000 เยน ซึ่งตั๋วชนิดนี้ต้องแสดง Passport ต่อ จนท. ก่อนจะซื้อ
ประโยชน์ของมันคือสามารถขึ้นรถไฟสาย JR ได้ฟรีตลอด 3 วัน และยังสามารถขึ้น Shinkansen คุ้มมาก สะดวกในการเดินทางสุดๆ
หลังจากจัดการเรื่องตั๋วรถไฟครบทุกอย่าง เราก็ขึ้นเจ้า Keisei Skyliner นั่งชิวๆ ชมวิวข้างทางมา 40 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟอูเอโนะ
จากนั้นก็เตรียมตัวลากกระเป๋าไปเช็คอินเข้าที่พัก HOTEL MYSTAYS UENO EAST (ห่างจากสถานีอูเอโนะ 450 ม.) เดินไกลหน่อยแต่จะกลัวอะไร อากาศก็เย็น แถมครั้งนี้เราเอากระเป๋าไปแค่คนละใบ
รู้งานเต็มที่ว่าทริปนี้ต้องเดินเยอะไม่ได้มีรถนั่งสวยๆ เหมือนมาทัวร์นะจ๊ะ
ถึงที่พักก่อนเวลาเช็คอิน (เวลา 15.00) ใครที่กลัวว่ามาถึงแล้วจะต้องแบกกระเป๋าไปเที่ยวไม่ต้องกังวลเราสามารถฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรมได้
หิ้วแต่อุปกรณ์สำคัญ เช่น กล้อง, พาวเวอร์แบงค์, แผนที่การเดินรถไฟสายต่างๆ และที่สำคัญเงินเยน ไปตะลุยเที่ยวกันได้เลย
สถานที่แรกลูกเกดกับคุณแฟนมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยที่ วัดเซนโซจิ Sensoji (การเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินสาย Asakusa หรือ Ginza ลงสถานี Asakusa ถ้าไปจาก Ueno นับไป 3 สถานี)
ทางเดินเข้าวัดมีร้านค้าเรียงรายขายทั้งของกินของใช้เต็มไปหมด เลือกแทบไม่ถูกว่าจะซื้ออะไรดี ภายในวัดมีจุดไหว้พระ และจุดตักน้ำมนต์ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะกวักควันธูปเข้าตัวเพื่อเป็นสิริมงคล
ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว มาถึงญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็อยากจะเห็นซากุระกับเค้าบ้าง ว่าแล้วตามหาสิคะ หลายคนบอกว่าที่ สวนสาธารณะ Ueno เริ่มมีแล้วนะ ว่าแล้วก็เดินจากสถานี Ueno ไปที่สวน ซึ่งอยู่ไม่ไกลเดินแป๊ปเดียวก็ถึง
สำหรับสวน Ueno นั้น เปรียบเสมือนปอดกลางเมืองโตเกียว ภายในสวนมีผู้คนทั้งนักท่องเที่ยว และชาวญี่ปุ่น มาเดินสูดอากาศกันอย่างคึกคัก
นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปะในการวาดรูปด้วยผ้า เป็นอะไรที่ว้าวมาก เค้าใช้ผ้าวาดรูปแทนพู่กัน ภาพที่ได้สวยงาม คนมุงดูเยอะมาก เก่งมากปรบมือรัว
เก็บภาพต้นซารุกะ ที่มีอยู่ไม่กี่ต้นมาให้ได้ดูกันด้วยนะคะ
อ่อ สวน Ueno ก็มีประตูเสาแดงให้ถ่ายรูปด้วยนะ อ่ะ โพสท่ากันไป
นั่งพักให้หายเหนื่อย และชื่นชมกันต้นซากุระแล้ว เราก็มาลุยย่าน ตลาด Ameyoko ที่นี้จะอยู่ไม่ไกลกันเดินจากสถานี Ueno ไปได้เลย
ภายในตลาดมีทั้งของกิน ของใช้มากมาย เช่นร้านขายรองเท้ายอดฮิต ABC MART ร้านขายกางเกงยีนส์ชื่อดัง Hinoya Honten รวมไปถึงร้านอาหารข้าวหน้าปลาดิบที่บอกเลยว่าเด็ดเวอร์
ใครที่เป็นแฟนซูชิ ปลาดิบ ที่เรากินมาอร่อยทุกร้าน (ขนาดกลับมาเมืองไทยยังติดใจความสดหวานของอาหารที่นั้นจนอยากกลับไปกินซ้ำเลยอ่ะคิดดู)
ถ้าใครชอบราเม็งร้อนๆ แนะนำร้านหัวมุมที่อยู่ตรงข้ามร้านกางเกงยีนส์ Hinoya Honten จานใหญ่บิ๊กบึ้ม หมูเต็มคำ อร่อยไปถึงน้ำซุป ได้ยินเสียงคนญี่ปุ่นสูดน้ำซุปดังมาก อิอิ
วันที่ 2 ไปถ่ายรูปกับ Fujisan วันนี้เราตื่นเช้าพร้อมออกเดินทางตั้งแต่เวลา 08.00 จุดหมายปลายทางคือภูเขาไฟฟูจิ เริ่มต้นการเดินทางด้วยการนั่ง JR Yamanote line จากสถานี Ueno ไปลงสถานี Shinjuku
โดยใช้เวลา 25 นาที จากนั้นนั่งสาย Chuo line ได้ทั้งขบวน Azusa หรือ Kaiji มุ่งหน้าสถานี Otsuki เราจะลงที่นี่ เพื่อเปลี่ยนขบวนขึ้น Fujikyuko Railway ไปสถานีปลายทางคือ Kawaguchiko
เวลาประมาณ 10.00 ถึงแล้วสถานี Kawaguchiko อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่มีหมอก สามารถมองเห็น Fujisan ได้อย่างชัดเจน โชคดีสุดๆ
การเดินทางรอบๆ ลูกเกดซื้อตั๋วรถบัส แบบ Retro R Coupon สามารถซื้อได้ที่สถานี Kawaguchiko ในราคา 500 เยน ตั๋วนี้เราสามารถขึ้นรถบัสไปลงยังจุดต่างๆ ได้ สำหรับเราจุดแรกที่ไปคือ No.21
ซึ่งเป็นจุดชมวิวและถ่ายรูป นี้มีร้านอาหารไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว เราก็ไม่พลาดที่จะลองชิม ไอศกรีมชาเขียว เย็นสดชื่นอร่อยกลมกล่อม
หลังจากถ่ายรูปกับ Fujisan เต็มอิ่มแล้ว เราก็ขึ้นรถบัสไปจุดต่อไปคือ No.10 Kachi kachi ropeway ขึ้นกระเช้าชมวิว Kawaguchiko lake โดยก่อนขึ้นกระเช้าเราต้องซื้อตั๋ว
มีเครื่องขายตั๋วบอกภาษาไทยไว้อย่างชัดเจน เราซื้อแค่ขาไป เพราะเจอคนไทยด้วยกัน คุณพี่ชวนเดินชมวิวข้างทางที่เค้าบอกว่าไม่ไกล เราเอานะ!
เดินลง โอโห้ ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ ระยะทางประมาณ 2 กม. มีความเมื่อยเบาๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ วิวป่าสองข้างทาง ถึงจะเป็นแค่ป้าแห้งๆ แต่ดูมีเสน่ห์เหลือเกิน แถมยังได้เก็บภาพภูเขาไฟฟูจิในมุมใหม่ๆ
ใครที่พร้อมเดิน เชื่อเถอะว่าเดินลงทางนี้จะเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ไม่มีวันลืม
เดินดูวิวจนถึงที่หมายสถานี Kawaguchiko เราก็ขึ้นรถกลับ Ueno เพื่อไปหาของกินอร่อยๆ โดยมื้อนี้คุณแฟนตั้งแต่เลยว่าจะ กินเนื้อย่าง ชื่อร้าน Jimbocho shokuniku center ueno อยู่ใกล้กับสถานี Ueno-okachimachi เดินเพียง 1 นาที
เจอแล้วร้าน Jimbocho shokuniku เป็นร้านเนื้อย่างเก่าแก่ เมนูมีทั้งเนื้อและหมู เราไม่พลาดสั่งทั้ง 2 อย่าง พร้อมเครื่องในมาทานกรุบๆ เคียงคู่กับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ บอกเลยว่าเนื้อนุ่มมาก หมูก็อร่อย
แอบบอกนิดนึงว่าร้านนี้จะอยู่ในตึกชั้น 2 ต้องมองดีๆ หรือถามพนักงานด้านล่างก็ได้ เห็นเค้าบอกด้วยว่ามื้อกลางวันจะเป็นบุฟเฟ่ต์ ส่วนมื้อเย็นราคาปกติตามเมนู ค่าเสียหายในมื้อนี้ประมาณ 1,500 บาท สั่งมาหลายจานแต่อิ่มจนถึงเช้าเลย
วันที่ 3 จะไปดูธรรมชาติกันที่ นิกโกะ (Nikko) เมืองมรดกโลก ตื่นเช้าอีกแล้วจ้า สำหรับช่วง 2 วัน ที่ผ่านมา มื้อเช้าเราจะฝากท้องไว้กับร้าน Lawson ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อมีอาหารให้เลือกหลายอย่าง แถมรสชาติอร่อยราคาไม่แพงด้วย
การเดินทางไป นิกโกะ เริ่มจากการนั่ง Shinkansen Tohoku ขึ้นได้ทั้งขบวน yamabiko และ nasuno จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko ใช้เวลารวมประมาณ 2 ชม.
เมื่อมาถึงสถานี JR Nikko สัมผัสได้ถึงอากาศหนาวมากกว่าในโตเกียว แต่อย่าไปกลัวกับความหนาวคว้าโค้ทยาวแต่ข้างในสั้นเสมอหู (ใส่ฮีทเทคด้านในแล้วทับด้วยคอเต่าก็เอาอยู่ แต่ลมมาก็เย็นขานิดนึงนะ)
การเที่ยวที่นี้จะมีรถเมล์สาย World Heritage bus (รถสีแดง) วิ่งวนในเส้นทางมรดกโลก One day pass ราคา 500 เยน จุดขายตั๋วจะอยู่ที่สถานีรถไฟ Tobu Nikko
เป็นสถานีที่อยู่ใกล้กับสถานี JR Nikko เดินไปประมาณ 3 นาที ถ้าออกจากสถานี JR Nikko ให้เดินไปทางขวาตรงไปเรื่อยๆ
ร้านอร่อยที่นี้คงจะต้องเป็นร้านราเม็ง คนกินเยอะมาก เดินขึ้นบันไดไปนั่งที่ชั้น 2
ที่เด็ดอีกอย่างคือ ซาลาเป่าทอดไส้ถั่วแดง มีรูปออกรายการทีวีที่ญี่ปุ่นหลายภาพ ถึงว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่มาถึงแล้วต้องลองแวะมาชิมนะคะ
จากเส้นทางการเดินรถวางแผนเที่ยวได้ตามนี้ เราจะลงที่ป้าย 83 เที่ยวศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น
จากนั้นก็นั่งรถไปป้าย 85 เที่ยววัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง และนั่งรถต่อไปป้าย 7 สะพานแดงชินเคียว จากนั้นก็กลับ JR Nikko
มาถึง Ueno ก็ช่วงค่ำแล้ว ท้องเริ่มหิว วันนี้เราตั้งใจไปกินอาหารทะเลปิ้งย่างที่ร้าน "Isomaru Suisan" ร้านนี้จะเป็น theme ทะเลสีฟ้า เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
โดยร้านจะอยู่ใกล้สถานี Ueno เดินข้ามถนนออกมาฝั่งห้างที่มีร้านอาหารเยอะ ๆ เดินตรงเข้าไปซอยกลางที่ติดกับห้างมารุอิ เดินไป 1 block จะเจอร้านของเราซึ่งตั้งอยู่หัวมุม
ในร้านได้บรรยากาศแบบชาวญี่ปุ่นแท้ๆ หลังเลิกงานคนวัยทำงานก็มานั่งสังสรรค์ดื่มเบียร์กันอย่างคึกคัก วัยรุ่นก็ชวนแก๊งค์เพื่อนมาปิ้งย่างกันอย่างสนุกสนาน มื้อนี้ลูกเกดสั่งทั้งปลาดิบซาซิมิ ปลาหมึก หอย และข้าวสวย
ที่พลาดไม่ได้คือ เบียร์ สรุปอิ่มแปล้ กลับที่พักสบายใจ
วันที่ 4 มาถึงวันของชะนีน้อยที่ตั้งตาค่อยช้อปปิ้ง เราจะไปตระเวนย่าน Shinjuku,Harajuku,Shibuya และย่านวินเทจ Shimokitazawa
ที่แรกที่เราไปคือ Harajuku การเดินทางนั่ง JR Yamanote line จากสถานี Ueno มาลงที่สถานี Harajuku
เมื่อมาถึงแล้ว สิ่งที่ต้องแวะคือ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) ศาลแห่งนี้ถือเป็นแลนมาร์คของชาวญี่ปุ่น ภายในมีจุดให้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจุดตักน้ำมนต์ ซึ่งเราก็เช่าของขลังจากศาลแห่งนี้ กลับมาบูชาที่บ้านด้วย
เมื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว เราก็เดินตะลุยย่าน Harajuku ซึ่งก็เปรียบเสมือนย่านสยามของประเทศไทย วัยรุ่นชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวแต่งคอสเพลย์กันแบบจัดเต็ม บริเวณนี้ก็มีร้านขายของเช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ
หลังจากเดินกันแบบสะใจแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ Shimokitazawa ย่านวินเทจ (การเดินทางนั่ง JR Yamanote line จากสถานี Ueno ลง Shinjuku จากนั้น ขึ้นสาย Odakyu Line ลงที่สถานี Shimokitazawa)
ตลาด Shimokitazawa ก็คล้ายๆ ตลาดวังหลัง หรือสวนจตุจักร ของบ้านเรา มีสินค้ามือสอง และเสื้อผ้าแนวๆ เยอะมาก
เมื่อเดินดูของวินเทจจนครบทุกซอยแล้วเราจะไป Shibuya การเดินทางนั่ง JR Yamanote line จากสถานี Ueno มาลงที่สถานี Shibuya มาถึงก็เที่ยงกว่าเดินตามหาร้านซูชิ และแวะร้านทาโกยากิ ซึ่งอยู่ข้างๆกัน
กินอิ่มก็เดินไปดูทางม้าลายที่เป็นแลนมาร์คของที่นี่ คนเยอะ เป็นครั้งแรกที่ได้มาเห็นทางม้าลายที่ยิ่งใหญ่อลังการ คนต่างชาติพากันหยิกล้องออกมาถ่ายรูป อัดวิดีโอ ส่วนคนญี่ปุ่นนะหรอ ต่างรีบเดินคงชินกับสี่แยกนี่อ่ะเนอะ
ปิดท้ายวันนี้กันที่ Shinjuku การเดินทางนั่ง JR Yamanote line จากสถานี Ueno มาลงที่สถานี Shinjuku เราใช้เวลาเดินที่นี่นานพอสมควร มีของให้เลือกมากมาย กินเนื้อย่างวากิวข้างทางไม้ละ 500 เยน
จากนั้นไม่สะใจ ไปกินเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์หัวละ 2500 เยน ทานได้ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ก้าวขึ้นไปแบบไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้เลือกที่นี้ เดินขึ้นไปเจอคนญี่ปุ่นนั่งคุยเฮฮากันอย่างมากมาก
ไม่คิดว่าทางเข้าตึกเล็กๆ จะจัดเรียงโต๊ะได้มากขนาดนี้ ร้านนี้ถึงว่าอร่อย บริการดี เติมได้ตลอด
วันที่ 5 เตรียมตัวเดินทางกลับ วันนี้ได้ตื่นสายนิดนึง หลังทานอาหารเช้า เราลงมาเช็คเอ้าท์ที่ด้านล่าง และฝากกระเป๋าไว้กับพนักงาน จากนั้นก็ไปเดินเที่ยวใกล้ๆ ที่พัก ซึ่งจุดแรกคือ ไหว้ศาลเจ้า
อุเอโนะ-โทโชกุ
จากนั้นไปเดินซื้อของฝาก และทานข้าวหน้าปลาดิบที่ตลาด ameyoko ได้เวลาประมาณ 15.00 เราก็กลับไปเอากระเป๋าที่พัก เพื่อไปขึ้นรถไฟ Keisei Skyliner รอบ 1620 ถึงสนามบินนาริตะ 17.00 เช็คอินกระเป๋ากลับกรุงเทพแล้วจ้า
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับทริปโตเกียว 5 วัน 4 คืน เที่ยวเองไม่ง้อทัวร์ได้อารมณ์ตะมุตะมิกันสองคน ครั้งหน้าลูกเกดจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่ไหนอีก รอติดตามกันนะคะ
ป.ล. ยังมีอีกหลายร้านที่อยากให้ไปลองชิม พิกัดอยู่ที่ด้านล่างนี้ ขอให้อร่อย ฟินเวอร์กันทุกคนนะคะ
ชี้เป้า !!! ร้านอาหารเด็ด
Go GO Kare ข้าวแกงกะหรี่ ร้านมีสัญลักษณ์รูปคิงคอง ใกล้ Ueno
jinbocho shokuniku center ueno เวลา 11:30-14:30 (มื้อเที่ยงโปรโมชั่น)
ราคา 950 เยน/45 นาที นั่งรถไฟใต้ดินสาย Edo line มาลงสถานี Asakusa Butayashiki Horumon Sakaba เวลา 11:30-14:00 (มื้อเที่ยงโปรโมชั่น) 990 เยน/45 นาที การเดินทางนั่งรถไฟ Asakusa line มาลงสถานี Honjoazumabashi Station เดินอีก 2 นาที
NUMAZUKO KAISHO “บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลญี่ปุ่น” 11.30 - 14.15 ราคาเพียง 1000 เยน สามารถเต็มอิ่มกับอาหารทะเลสดๆได้เป็นเวลา 45 นาที
Motomaru Ramen นั่งรถไฟสาย Keisei Line ไปลงที่สถานี Keisei-Ueno แล้วเดินไปที่ Ameya Yokocho จากเดินต่ออีกประมาณ 6 นาทีก็จะถึงร้าน เปิด 10.00-16.00
Miuramisaki kou ซูชิสายพานอร่อยเต็มคำ รถไฟสาย Keisei Line ไปลงที่สถานี Keisei-Ueno แล้วเดินไปที่ AmeyaYokocho จากเดินต่ออีกประมาณ 3 นาทีก็จะถึงร้าน เวลา 10.30-23.00
midori sushi ที่ shibuya
Tojinbo ซูชิ อยู่ตรงข้ามสถานีอุเอโนะ ใกล้ๆ ห้าง 0101
Minatoya ข้าวหน้าปลาดิบ ตลาด ameyoko
jinbocho shokuniku center ueno : นั่ง Endo line มาลง Ueno okachimachi เดิน 1 นาที
Asakusa Butayashiki สถานี Asakusa นั่งสาย Toei Asakusa Line สถานี Honjo Azumabashi ทางออก A1
Miesnsou Shinjuku : นั่ง Shinjuku line มาลง Shinjuku Sanchome เดิน 5 นาที
Carne station : นั่งจาก Ueno ไป Shimbashi 20 นาที เดิน 5 นาที
Sutaminatarounekusuto นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Asakusa Line มาลงสถานี Asakusa แล้วเดินอีก 9 นาที วันธรรมดา (60 นาที) : 1,512 เยน, วันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์ (90 นาที) : 1,728 เยน
Kuikui นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ikebukuro แล้วเดินอีก 5 นาที มื้อกลางวัน (90 นาที) : 1,728 เยน
Shinjuku Shokuniku Center Kiwame 8 นาทีจากสถานี JR Shinjuku ทางออกฝั่งตะวันออก
Carne station asakusa 10 นาทีจาก Ueno นั่ง Hibiya Line ลงสถานี Iriya ทางออก 3
อัลบั้มภาพ 86 ภาพ
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :ลูกเกด