หลงเสน่ห์ 'มองโกเลีย'

หลงเสน่ห์ 'มองโกเลีย'

หลงเสน่ห์ 'มองโกเลีย'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลงเสน่ห์ 'มองโกเลีย'

เยือนถิ่นเจงกิสข่าน ขานไขอารยธรรมมองโกล สัมผัสธรรมชาติอันวิจิตรของดินแดนที่ไม่มีทางออกทะเล


นับเป็นหนึ่งในทริปที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เมื่อ 247 ได้รับคำเชิญจาก ‘เดอะพรีเมียร์ กสิกรไทย’ ให้ร่วมทริป ‘THE PREMIER EXPERIENCE IN MONGOLIA’ ซึ่งถือว่า ‘ไม่ธรรมดา’ เพราะนำเสนอรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่มาแรงของคนทำงานรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีหน้าที่การงานที่ดี หรือมีธุรกิจที่กำลังเติบโต นั่นคือ การเดินทางไปเยือน Exotic Destination อย่าง ‘มองโกเลีย’ ดินแดนเจงกิสข่าน ประเทศในทวีปเอเชียที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์น่าค้นหา


นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียร์ ไม่ชอบการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวทั่วๆไป ที่ใครๆ ก็ไปกัน ถ่ายภาพและทำทุกอย่างเหมือนๆ กันไปหมด แต่เลือกที่จะเดินทางไปในจุดหมายปลายทางที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้สัมผัส ด้วยรูปแบบการเดินทางซึ่งแตกต่างไปจากที่คุ้นเคย ไม่ง่าย ไม่หรูหรา ทว่าน่าหลงใหลและเต็มไปด้วยสีสันตลอดการเดินทาง เพื่อสัมผัสความงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อารยธรรมอันยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรของชนเผ่ามองโกลแบบเจาะลึก โดยเฉพาะการร่วมเทศกาลสำคัญที่จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น


แม้จะต้องใช้เวลาตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน จนถึงที่พักคืนแรกในมองโกเลียเกือบ 2 วันเต็มๆ! แต่ประสบการณ์ที่ได้รับแบบ Once In A lifetime นั้นเป็นความสุข ความทรงจำ ที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ กับ Exotic Destinatiion แห่งนี้



ความทรงจำกับทางรถไฟสายTRANS-MONGOLIAN


ปกติแล้วมองโกเลียไม่ใช่ประเทศที่จะต้องดั้นด้นเดินทางไปด้วยความยากลำบาก แต่เพื่อสัมผัสประสบการณ์และไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียร์ เราจึงเลือกเดินทางในแบบที่ไม่เหมือนใคร เริ่มต้นจากสุวรรณภูมิบินตรงไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นแทนที่เราจะเดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงปักกิ่งไปยังสนามบินนานาชาติเจงกิสข่าน เมืองอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar) ซึ่งใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น แม้จะสะดวก รวดเร็ว แต่เราขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ล้ำค่า ด้วยการนั่งรถไฟสายทรานส์-มองโกเลีย (Trans-Mongolian Railway) ดีกว่า รถไฟสายนี้ออกจากสถานีรถไฟปักกิ่ง ทุกวันอังคาร พุธ และเสาร์ โดยมีเพียงวันละเที่ยวเท่านั้น คือ เวลาประมาณ 11.22 น.


เส้นทางนี้เป็นเส้นทางรถไฟสายรองของทรานส์-ไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway ซึ่งเริ่มต้นที่วลาดิวอสต็อก และสิ้นสุดที่เซนต์-ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย) เริ่มต้นจากกรุงปักกิ่งไปเชื่อมต่อกันที่เมืองอูลานอูเด (Ulan-Ude) โดยแล่นผ่านเมืองอูลานบาตอร์ก่อน


ภายในห้องพักวีไอพีปรับอากาศขนาด 2 ที่นอน ของรถไฟสายนี้ แม้จะดูคับแคบแต่ก็สะดวกสบาย เพราะมีการออกแบบอย่างเป็นสัดส่วน มีห้องน้ำภายในตัว (แชร์กับห้องข้างๆ) มีที่นั่งจิบชา ชมวิว แถมยังตกแต่งอย่างสวยงามอีกต่างหาก นอกจากอาหารการกิน ขนมนมเนย ที่เราเตรียมพร้อมสรรพมาจากเมืองไทยแล้ว ยังมีบริการอาหารที่ตู้เสบียงอีกด้วย แต่ต้องทานกันเป็นรอบๆ เนื่องจากโบกี้ที่เป็นห้องอาหารมีที่นั่งจำกัด ทำให้ต้องจัดสรรให้ผู้โดยสารมาทานเหลื่อมเวลากัน เช่น มื้อเที่ยงอาจจะได้ทานตอน 11 โมง อีกกรุ๊ปอาจจะได้ทานตอนเที่ยง ถัดไปอีกกรุ๊ปก็ทานตอนบ่าย เป็นต้น โดยมากจะเป็นอาหาร ‘นอมัด’ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวมองโกล พวกเขานิยมทานแพะ แกะ จามรี และวัวเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะนำมาปิ้งหรือย่าง (อย่าแปลกใจถ้าคุณจะได้ลิ้มรสขนมจีบไส้เนื้อวัวที่มองโกเลีย) แต่นอกจากเนื้อสัตว์ดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีไก่และหมูให้ทานเหมือนกัน แม้จะไม่ถูกปากกับอาหารนอมัดนัก แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลว


ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือที่เตรียมไปอ่าน ไม่ได้ถูกเปิดเลยแม้แต่หน้าเดียว ทั้งๆ ที่เป็นการเดินทางที่ยาวนานและต่อเนื่องกว่า 29 ชั่วโมง ผ่าน 9 สถานีหลัก รวมระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร แต่จะมีหยุดพักตามสถานีต่างๆ เฉลี่ยสถานีละ 10-15 นาที ก่อนที่จะได้ลงมายืดแข้งยืดขาแบบเต็มๆ 3 ชั่วโมง เมื่อเข้าสู่ชายแดนมองโกเลีย ซึ่งต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนตู้เสบียงและล้อใหม่ เนื่องจากความกว้างของล้อรถไฟจีนและมองโกเลียมีขนาดไม่เท่ากัน


การที่หนังสือถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม ไม่แม้แต่จะถูกหยิบขึ้นมา ก็ต้องโทษวิวธรรมชาติที่งดงามสองข้างทาง และภูมิประเทศอันน่าตื่นตาตื่นใจ ตลอดระยะเวลาที่รถไฟแล่นผ่าน โดยเฉพาะภาพของทุ่งหญ้าสเตปป์สีเขียว ที่กว้างไกลสุดลูกหูตา บางครั้งแซมด้วยดอกไม้ใบหญ้าหลากสี ตัดกับขอบฟ้าสีสดสวย จึงสมควรแล้วทุกประการกับสมญานามของมองโกเลียที่ว่า The Land Of Steppes & Blue Sky

เพิ่งตระหนักในตอนนั้นเองว่า การได้อยู่เงียบๆ กับตัวเอง พร้อมของขวัญจากธรรมชาติ เป็นช่วงเวลาที่วิเศษเพียงใด


DID YOU KNOW?


‘ทุ่งหญ้าสเตปป์’ (Steppe) มาจากคำว่า степь ในภาษารัสเซียที่แปลว่า ‘ดินแดนที่ราบและแห้ง’ เป็นบริเวณที่มีสภาพอากาศและภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยที่ราบที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ไม่มีต้นไม้ นอกจากบริเวณริมแม่น้ำหรือทะเลสาบ มีลักษณะอากาศแบบภูมิอากาศภาคพื้นทวีป และภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้ง อุณหภูมิสูงสุดในฤูดูร้อนอาจจะสูงถึง 40 °C และต่ำสุดในฤดูหนาวอาจจะลดลงถึง -40 °C นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืน ทางบริเวณที่สูงของมองโกเลียอุณหภูมิตอนกลางวันอาจจะสูงถึง 30 °C แต่กลางคืนอาจจะลดต่ำลงต่ำกว่า 0 °C  (ภาพโดย Johannes Lundberg / Flickr)



ONE NIGHT IN GER

นอนกระโจม แล้วโลมเลียธรรมชาติ

หลังการเดินทางบนรถไฟสายทรานส์-มองโกเลียอันยาวนานสิ้นสุดลง เรานั่งรถโค้ชออกจากสถานีรถไฟอูลานบาร์ตอร์ มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติ Gorkhi-Terelj ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 85 กิโลเมตร ตลอดสองข้างทางเรียงรายด้วยภาพวิถีชีวิตของชุมชน และการทำปศุสัตว์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ


เราหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อเข้าพักที่รีสอร์ตธรรมชาติสไตล์ ‘เกอ’ (Ger) หรือที่เรียกกันว่ากระโจมนั่นเอง เกอเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตชนเผ่ามองโกเลีย ที่ต้องเร่ร่อนไปเลี้ยงสัตว์ตามที่ต่างๆ เกอได้รับการออกแบบให้เป็นทรงกลมเหมาะสำหรับลู่ลม หากต้องการแสงก็สามารถเปิดด้านบนรับแสงสว่างได้ สามารถโยกย้ายไปตั้งหลบหนาวที่หลังเทือกเขา และหนีร้อนไปตั้งอยู่ริมลำธาร หรือริมทะเลสาบ นี่แหละภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ได้ดีตั้งแต่พันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วเกอยังมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมอื่นๆ ของมองโกเลียอีกด้วย เช่น วัด เป็นต้น


เกอสีขาว ตั้งเรียงรายอยู่บนทุ่งหญ้า โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูง คือ ‘พื้นที่ส่วนตัว’ ชั่วคราวของนักเดินทางที่โหยหาความ Exotic และคงไม่ใช่การกล่าวเกินเลยนัก ถ้าจะบอกว่าที่นี่คือ Hidden Paradise อย่างแท้จริง

ตกกลางคืน อุณหภูมิอยู่ที่ 10 C มีลมเย็นๆ พัดระเรื่อปะทะผิวหน้า อาจถูกใจนักเดินทางที่มาจากเมืองร้อนหลายคน แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบอากาศหนาว ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะก่อนนอนจะมีพนักงานมาจุดฟืนเพื่อเพิ่มไออุ่น และทำให้ค่ำคืนนั้นไม่หนาวเหน็บจนเกินไป



NAADAM FESTIVAL 2014

ชมเทศกาลวันชาติมองโกเลีย


‘เทศกาลนาดัม’ คือเทศกาลที่หลอมรวมจิตวิญญาณมองโกลเข้าไว้ด้วยกัน การได้ร่วมชมเทศกาลสุดพิเศษ หนึ่งปีมีหนนี้นับเป็นประสบการณ์แบบ ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ว่ากันว่านี่เป็นช่วงที่อูลานบาตอร์รถติดที่สุด เพราะชาวมองโกเลียค่อนประเทศจะเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาเฉลิมฉลองเทศกาลที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 กรกฎาคมของทุกปี โดยเทศกาลนี้ จัดมาตั้งแต่ปี 1921 และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเมื่อปี 2010


เราได้มีโอกาสร่วมพิธีเปิดที่สนามกีฬาแห่งชาติมองโกเลียในที่นั่งแบบฟรอนต์ โรว์ โดยเสียค่าตั๋วคนละ 340 บาท เพลิดเพลินกับการแสดงหลากชุด จากพลเมืองมองโกเลียทุกหมู่เหล่า ทั้งหญิงชาย หนุ่มสาว และเด็กตัวเล็กตัวน้อย ส่วนบริเวณรอบๆ สนามฯ ก็มีการออกร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารพื้นเมือง รวมถึงกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เช่น เล่นเกมปาลูกดอก โยนลูกบาสชิงรางวัล ดูไปดูมาแล้วให้ความรู้สึกครึกครื้นเหมือนกับงานกาชาดบ้านเรา


งานนี้ทุกคนต่างจดจ้องกับการแข่งขัน ’มวยปล้ำ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ทักษะที่ว่ากันว่าชายชาวมองโกลทุกคนจะต้องมีติดตัว (อีก 2 ทักษะคือ ยิงธนู และขี่ม้า) มวยปล้ำเป็นกีฬาดั้งเดิมของชาวมองโกลและได้รับความนิยมมากที่สุด มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 7,000 ปี ภายใต้กฎข้อบังคับที่เรียบง่าย ไม่จำกัดเวลา ไม่แบ่งระดับน้ำหนักของผู้เข้าแข่งขัน กำหนดไว้แต่เพียงว่าถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่เหนือกว่าหัวเข่าสัมผัสกับพื้นก็ถือว่าพ่ายแพ้


นอกจากนี้ยังมีการแข่งขัน ‘ยิงธนู’ สนามแข่งยิงธนูเป็นลานกว้าง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหนึ่งของสนาม อีกฝั่งที่ไกลออกไปเป็นเป้า ผู้ชายจะยิงธนูในระยะ 75 เมตร ส่วนผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดชนเผ่าที่สวยงาม จะยิงธนูในระยะ 65 เมตร ผู้เข้าแข่งขันหลายคนเป็นผู้หญิงสูงอายุ แต่ยังคงความสง่างามและแข็งแรง สามารถยิงได้อย่างแม่นยำท่ามกลางกำลังใจจากผู้ชมล้นสนาม


ด้านการ ‘แข่งขี่ม้า’เป็นหัวใจของชาตินักรบมองโกลที่ยังคงสานต่อมาถึงทุกวันนี้ สนามประลองคือ ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่นอกเมือง ผู้ร่วมแข่งขันมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ทุกคนต่างมีท่วงท่าการทรงตัวและมีจังหวะในการควบม้าอย่างเชี่ยวชาญและสง่างาม เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ นี่สินะ ที่ว่ากันว่า คนมองโกลขี่ม้าเป็นก่อนจะเดินได้เสียอีก


เคยรับรู้ก่อนหน้าที่จะมาเยือนมองโกเลียแล้วว่า ชนชาติมองโกลมีความอดทน เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวมาก เพราะสืบสายเลือดมาจากเจงกีสข่าน วีรบุรุษที่ใช้เวลายกทัพจากมองโกเลียไปทางทิศตะวันตกเมื่อราวปี 1753 และกว่าจะเดินทางกลับมาบ้านเกิดอีกครั้งก็ล่วงเลยไปถึง 14 ปี จนชาวมองโกลถึงกับพูดกันติดปากว่า “ตลอดระยะเวลา 72 ปีของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ท่านใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนหลังม้า”



เพิ่งจะได้มาเห็นกับตา ก็ตอนที่เด็กผู้ชายวัยไม่เกิน 7 ขวบ ควบม้ามาแต่ไกล แต่ม้ากลับไถลลื่นจนเขาพลัดตกจากอาน และกว่าจะสะบัดหลุด เจ้าม้าพยศก็พากระเด้งกระดอนและถูกเหยียบไม่รู้กี่ตลบ จนสลบไป โดยที่ไม่มีเสียงร้องออกมาจากปากเขาสักแอะ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของผู้เข้าชมงาน ไม่นานเด็กน้อยคนนั้นกลับลุกขึ้นยืนและเดินเองได้ ก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึงเสียอีก แน่จริงๆ

ส่วนงานเฉลิมฉลองในช่วงค่ำคืนที่จตุรัสซัคบาทาร์ใจกลางอูลานบาตอร์ก็คึกคักและแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่เฝ้ารอกิจกรรมพิเศษนี้ ซึ่งมีทั้งคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง และการแสดงต่างๆ ก่อนจะปิดท้ายอย่างประทับใจด้วยโชว์ไฟที่งดงามตระการตา


FYI

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของมองโกเลียจะยิ่งเติบโตมากขึ้น เมื่อมิตซูบิชิ กลุ่มบริษัทเทรดดิ้ง และชิโยดะ ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมของญี่ปุ่น ได้รับสัมปทานมูลค่า 50,000 ล้านเยน หรือราว 15,000 ล้านบาท ในการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอูลานบาตอร์ราว 50 กิโลเมตร และจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2 ล้านคนต่อปี มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2559




ALL YOU NEED TO KNOW


ABOUT ‘MONGOLIA


- มีพื้นที่ 1.5 ล้าน ตร.กม. ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ภูเขา และทุ่งหญ้า ไม่มีอาณาเขตติดทะเล (Landlocked Country) มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า มีอาณาเขตติดกับรัสเซียและจีนประกาศเอกราชจาก


- จีนเมื่อปี 1921 และประกาศสถาปนา ‘สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย’ เมื่อปี 1924 (เป็นคอมมิวนิสต์ลำดับที่ 2 ของโลกต่อจากสหภาพโซเวียต)


- หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบระบอบประชาธิปไตย และมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกเมื่อปี 1990


- ประชากร 2.94 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุดในโลก


- นับถือศาสนาพุทธ (นิกายลามะ)


- สัญลักษณ์ประจำชาติ คือ ม้าพื้นเมืองพันธุ์ Przewalski


- สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ทองแดง ขนสัตว์ เครื่องหนัง และเนื้อสัตว์


- เที่ยวมองโกเลียไม่ต้องขอวีซ่า แต่ต้องขอวีซ่าจีน เพราะต้องเดินทางผ่านประเทศจีน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด หรือถ้าไม่อยากขอวีซ่า และมีเวลามากก็เริ่มต้นที่รัสเซียได้เลย (นักท่องเที่ยวไทยไม่ต้องขอวีซ่ารัสเซียเช่นกัน)


- ค่าตั๋วรถไฟ ปักกิ่ง-อูลานบาตอร์ ห้องวีไอพีปรับอากาศ 2 ที่นอน ราคาประมาณ 7,000 บาทต่อเที่ยว


- ใช้เงินสกุลตูริก (1,000 ตูริก เท่ากับ 17 บาท) ร้านค้าใหญ่ๆ จะรับสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ, ยูโร, หยวน รวมถึงรูเบิ้ล รัสเซียด้วย แนะนำให้แลกเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ ไปจะสะดวกกว่า (เช็คเรทได้ที่ xe.com)


- ประชากรชาวมองโกเลียประมาณ 47% อยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยมองโกเลียมีจำนวนสัตว์เลี้ยงประมาณเกือบ 50 ล้านตัว แต่สามารถผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคใช้ภายในประเทศเพียง 30% และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ 70%


- ผับ บาร์ และร้านอาหารที่อูลานบาตอร์ส่วนใหญ่จะปิดเร็ว รับออร์เดอร์สุดท้ายเวลา 22.00 น. และปิดเวลาเที่ยงคืน


- ตามเคาน์เตอร์โรงแรมชั้นนำ ร้านอาหาร และร้านกาแฟ จะมีคู่มือท่องเที่ยวมองโกเลียเป็นภาษาอังกฤษ แจกฟรี จำชื่อ That’s ULAANBAATAR ไว้ให้แม่น แล้วหยิบติดตัวไปได้เลย


- ชมการแสดงร่ายรำและขับร้องแบบมองโกลได้ที่ Tumen Ekh ซึ่งเปิดแสดงมานานกว่า 25 ปี เต็มอิ่มกับการแสดงนับสิบชุดจากนักแสดงและนักร้องมากฝีมือ ภายใต้อาภรณ์และเครื่องประดับอันวิจิตรที่พร้อมจะสะกดคุณให้ดำดิ่งไปกับวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของมองโกเลียและเสียงขับร้องจากลูกคอทรงพลังในตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง


- มองโกเลียมีแท็กซี่น้อยมาก หรือเรียกว่าหาได้ยากมากนั่นเอง คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะโบกรถบ้านกันมากกว่า และรถบ้านทุกคันก็สามารถเป็นแท็กซี่ได้ เพียงแต่ตกลงจุดหมายและราคากัน ก็ใช้บริการได้เลย แปลกดีไหมล่ะ!


- คนมองโกเลียขับรถได้ดุดันและระห่ำมาก ไม่กลัวชน ไม่กลัวบุบ ไม่ต้องมีถนนก็ดั้นด้นไปกันจนได้ เพราะส่วนใหญ่ใช้รถมือ 2 และมือ 3 ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น


- ของฝากยอดนิยมคือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าแคชเมียร์ ทั้งเสื้อ ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ หมวก ถุงมือ ถุงเท้า จดชื่อแบรนด์ต่อไปนี้ให้ดี เขาว่าดัง! Gobi, Goyo, Altai Cashmere และ Buyan


- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.ulaanbaatar.mn และ www.mongoliatourism.org




แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook