อุซเบกิซสถาน…ตำนานความกล้าและศรัทธาที่สูงส่ง

อุซเบกิซสถาน…ตำนานความกล้าและศรัทธาที่สูงส่ง

อุซเบกิซสถาน…ตำนานความกล้าและศรัทธาที่สูงส่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตอนที่ 1 ซามาร์คานด์...ช่างอลังการเกินคาดคิด

ตื่นเต้น ดีใจจะได้ไป อุซเบกิซสถาน...เอิง เงอะ เอิง เงย...

รู้นะว่าอุซเบกิซสถาน อยู่เอเซียกลาง ไม่มีทางออกทะเลแบบสองชั้น( Double landlocked) เคยเป็นดินแดนภายใต้อุ้งมือของสหภาพโซเวียตมาก่อน แต่อื่น ๆไม่เคยรู้ ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย...เมื่อได้ไปถึง เมื่อได้รับรู้ ต้องบอกว่า...ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ...

การเดินทางไปอุซเบกิซสถานง่ายมาก สายการบินอุซเบกิซสถาน มีเที่ยวบินตรง 5 ชั่วโมงก็ถึง ขอวีซ่าก็ไม่ยุ่งยาก แต่เมื่อไปถึง...โอ้ แม่เจ้า...เครื่องบินจอดนิ่ง ผู้โดยสารลุกยืนเตรียมลงเครื่อง รถจี๊ปทหารเปิดไฟแว๊บ ๆบนหลังคา เข้ามาจอด 3 คันมองจากหน้าต่างเครื่องบินหัวใจจะวาย เที่ยวบินนี้มีผู้ก่อการร้าย??? มีระเบิด???มียาเสพติด???หรือ ทหารอุซเบกิซสถานยึดอำนาจ??? Heart Rate สูงกว่าวิ่งสายพานสปีดสูงสุด...

พลันมีเสียงปุกาด ปุกาด “พาสเซนเจอร์ฟรอมไทยแลนด์ พลีสสเต็ปฟอร์เวิร์ด” พนักงานบนเครื่องประกาศผ่านไมค์ อ๊ากกกกก...ข้าพเจ้าเอง เอาดิ งานเข้า!!! ซวยแล้ว เก๊าเป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ อาจน้ำหนักเกินนิดหน่อย ทหารมาจับเก๊าทามมาย...

ใจกล้า ขาสั่น ปากก็พูดไป “ไอมฟรอมไทยแลนด์” เท่านั้นแหละผู้โดยสารทั้งลำจ้องมองกันเป็นตาเดียว แล้วนางก็เดินนำเราลงเครื่องเป็นคนแรก ก่อนคนที่นั่งเฟิร์สคลาสซะอีก

ลงบันไดเครื่องช้า ๆ เหงื่อออกจนมือเปียก พยายามปลงว่า อะไรจะเกิดก็เกิด แต่ในใจดันไปคิดถึงหนังเรื่อง Midnight Express ที่หนุ่มอเมริกันติดคุกตุรกี บรื้อววว์...

ลงถึงพื้นทหารพร้อมปืนกล ไม่รู้ว่าเป็น M16 หรืออะไร แต่รู้ว่าปืนแบบนี้ไม่ยิงทีละนัด เป็นปืนกลที่ยิงแล้วกระสุนจะออกมาเป็นชุด ๆ ... มีปลอกแขนเขียนว่าอะไรอ่านไม่ออก เดาว่า สห. ขอดูพาสปอร์ต นิ่ง…แล้วตะเบะหนึ่งที ...นี่มันสัญญาณดีนี่หว่า ...เชิญขึ้นรถ หายใจทั่วท้องนิดนึง แต่แหม...คนบนเครื่องยังมองไม่เลิกนะตัวเอง สงสารกันบ้างไม๊

รถมาจอดที่อาคารผู้โดยสาร มีคนผูกไทใส่สูทปราดมาเช็คแฮนด์ บอกว่า อุซเบกิซสถานยินดีต้อนรับ ผมได้รับมอบหมายให้มาต้อนรับคุณ เชิญไปนั่งห้อง VIP เดี๋ยวจะเอาพาสปอร์ตไปประทับตราและรับกระเป๋าให้...กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ แอบปาดน้ำตา 3 หยดแต่วันหลังไม่ต้องนะ ต้อนรับแบบนี้พี่จะหัวใจวาย 

ระหว่างรอก็มีน้อง ๆเอาน้ำดื่มมาให้เลือก มีน้ำเปล่า โค้ก น้ำเขียว น้ำแดง น่าจะมีเบียร์ป๋อง จะกระดกทีเดียวให้หมด แก้ตกใจ...แฮ่ ๆล้อเล่น บอยไม่ดื่มค่ะ 

ไม่นานเจ้าหน้าที่คนเดิมพร้อมเจ้าหน้าที่ ตม.ซึ่งหล่อมาก ๆก็เอาพาสปอร์ตมาคืน  ขอถ่ายรูปด้วยก็ไม่ยอม บอกว่า”ออนดิวตี้” ยิ้มเขิน ๆแล้วขอตัวไป…แหม หวงเนื้อหวงตัวนะเธอ

Life goes one…ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ใช่ไม๊คะ ขวัญเอ๊ย...ขวัญมา...ศีล สมาธิ ปัญญา มาไม่ครบ แต่ไปต่อได้ค่ะ....

เครื่องบินลงจอดที่ ทาสเค้นท์ เมืองหลวงของอุซเบกิซสถาน สวยงาม สะอาด ตึกรามบ้านช่องเป็นระเบียบ มีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังไม่น้อย แต่ขอฟาสต์ฟอร์เวิร์ดไปที่ ซามาร์คานด์กันก่อน 

เราขอให้เพื่อนซื้อตั๋วรถไฟเพื่อไปซามาร์คานด์ แต่ด้วยความเขลา ดันไป คิดว่ารถไฟอุซเบคงไม่ต่างจาก รฟท.รถไฟไทย ที่ย้อนยุค ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แต่เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ ตะลึง!!! นี่มันชินคันเซ็น บุลเล็ตเทรน รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นชัด ๆ

รถไฟจากทาสเค้นท์ไปซามาร์คานด์เป็นไฮสปีดเทรน รถไฟความเร็วสูง!!! รวดเร็ว สะอาดสุด ๆ ตรงเวลาเป๊ะ ๆ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างรถแล่นเรียบนิ่งตาอยู่บนราง เราก็เหมือนอยู่บนTime Machine ตั้งเวลาไว้ที่ศตวรรษที่ 14 แล้วเข็มนาฬิกาก็หมุนย้อนกลับ...

ซามาร์คานด์ ห่างจากทาสเค้นท์ประมาณ 290 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางภูมิประเทศร้อน แล้งสลับหนาวจัด เป็นจุดหมายของเส้นทางการค้าทางบกโบราณ หรือ เส้นทางสายไหมทางบก อเล็กซานเดอร์มหาราช เคยเสด็จมาถึงที่นี่และนักเดินทางผู้โด่งดัง มาร์โค โปโล ก็เคยฝากรอยเท้าไว้ 

เมืองนี้ต้องไม่ธรรมดา...ความเจริญมาถึงขีดสุดในคริสตศตวรรษที่ 14 หรือ ย้อนเวลาไปนาน 600 ปีเป็นอย่างน้อย  ซามาร์คานด์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลของ อามีร์ ตีมูร์ (Amir Timor)

แล้วอามีร์ ตีมูร์ เป็นใคร???เขา คือ เจงกีสข่าน หรือเปล่า ประวัติก็เป็นขุนศึกมองโกลที่สามารถยึดครองดินแดนต่าง ๆได้กว้างไกลคล้าย ๆกัน คำตอบคือ ไม่ใช่... 

อามีร์ ตีมูร์ เกิดหลังเจงกีสข่านประมาณ 100 ปี เขาเกิดในปี ค.ศ.1336 (พ.ศ.1879 ก่อนอาณาจักรอยุธยาของเราไม่นานนัก) แต่อามีร์ ตีมูร์ ก็สืบเชื้อสายมาจากเจงกีสข่าน เขาเป็นลูกผสมเติร์ก กับ มองโกล ชื่อ ตีมูร์ มีความหมายว่า เหล็ก ซึ่งก็เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ ชากริซาบส์(Shahrisabz) ห่างจากซามาร์คานด์ไม่มากนัก

แต่คนทั่วไปมักจะเรียกท่าน อามีร์ ว่ ตีมูร์ ว่า แทมเมอร์เลน Tamerlane ซึ่งมาจากคำว่า Timur the lame ทั้งนี้เพราะท่าน ตีมูร์ เดินกะโผลกกะเผลก ถูกธนูยิงตั้งแต่ตอนหนุ่ม ๆจน ขาพิการ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าจริง เมื่อนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเปิดหลุมศพของท่านเพื่อพิสูจน์และพบว่าลูกธนูทำเอากระดูกสะโพกเสียหายส่งผลให้เดินเป๋ ส่วนมือขวานิ้วขาดไป 2 นิ้ว!!! อุ แม่เจ้า!!!

เรื่องการเปิดที่ฝังศพของท่าน ตีมูร์ นี้ ก็มีประเด็นไสย ๆ(ไสยศาสตร์) เนื่องจากมีคำสาปสลักไว้บนหลุมศพว่า ใครที่บังอาจมายุ่ง(บุกรุก)ที่ผังศพของข้า จะต้องโดนจัดหนัก (แปลกลับไป กลับมาหลายภาษา แต่ใจความของคำสาปแช่งประมาณนี้) ปรากฏว่า หลังจากเปิดที่ฝังศพ 2 วัน Hitler นำกำลังทหารเยอรมันบุกรัสเซีย และเมื่อบรรจุศพท่านกลับที่เดิม รัสเซียก็ชนะศึกกับเยอรมันที่สมรภูมิรบสตาลินกราด (Stalingrad) เป็นไง เฮี้ยนไม๊ล่ะ!!!

อ่ะ...กลับมา กลับมา...ท่านอามีร์ ตีมูร์ ขุนศึกกระดูกเหล็ก เมื่อขึ้นมาเป็นผู้นำ ท่านก็รบแหลก บุกตะลุยไปทั่วแคว้นแดนเหนือ ใต้ ออก ตก ดินแดนที่เขาพิชิตมาได้ปัจจุบันคือ อิรัก อิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และประเทศต่าง ๆในเอเซียกลาง ได้แก่ อาเซอร์ไปจัน จอร์เจีย อุซเบกิสถาน เตอร์กมินิสถาน ทากีกิซสถาน คีร์กิซสถาน ดินแดนส่วนใหญ่ของตุรกีและซีเรียและแคว้นด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย รวมทั้งเดลี รวมพื้นที่เกือบจะเท่าที่เจงกีสข่าน บรรพบุรุษของเขาเคยครองมาแล้ว

ลองนึกภาพ...ลมแล้ง แรง ร้อนพัดปะทะหน้านักรบชนเผ่าเร่ร่อนขณะเร่งฝีเท้าม้าควบตะบึงไปข้างหน้า และเปลี่ยนเป็นปุยหิมะที่มาพร้อมกับลมเหนือ หนาวเข้ากระดูกในหน้าหนาว แต่ไม่ว่าฤดูไหน ผู้นำของเขาดูโดดเด่นกว่าใคร สง่างามบนหลังม้าด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง หลังตรง 

นี่คือ อามีร์ ตีมูร์ ผู้ไร้ความปรานี บ้างก็เรียกเขาว่าปีศาจสงครามกระหายเลือด กองทัพของเขาฆ่าสังหารผู้คนที่เข้ายึดครองอย่างเป็นผัก ปลา 

มีเรื่องเล่าต่อ ๆกันว่า เมื่อกองทัพของท่านทีมูรฆ่าแล้วก็จะเอาหัวกะโหลกมากองสุมเป็นภูเขาย่อม ๆ ที่ทางเข้าเมือง ประกาศศักดาและข่มศัตรูให้ขวัญหนี ดีฝ่อด้วยปิระมิดกระโหลก...ถ้าจริงคงหลอนน่าดู....

เหยื่อคมดาบเหล่านี้เป็นทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ ฆ่ากันไม่เลือกหน้า แต่จะมีคนอยู่ 2 จำพวก ที่ อามีร์ ตีมูร์ ไว้ชีวิต นั่นคือ คนที่มีความรู้ นักวิชาการ และ ช่างฝีมือ ในทุกแขนงไม่ว่าจะเป็น ช่างทอผ้า ช่างตัดเสื้อผ้า ช่างเจียระไนเพชร พลอย ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างทาสี สารพัดช่าง... คนเหล่านี้จะถูกกวาดต้อนกลับมาที่ ซามาร์คานด์พร้อมกับทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง

เมื่อมีทั้งคนที่มีความรู้ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ และยังมีช่างฝีมือครบชุด ในศตวรรษที่ 14 เอเซียกลางจึงเป็นแหล่งอารยธรรมชั้นสูงที่ก้าวหน้ากว่าที่ใด ๆในโลก มีการก่อสร้างอาคารที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น สถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมยอดที่ ซามาร์คานด์ 

ท่านอามีร์ ตีมูร์ ถึงกับให้สลักข้อความไว้ว่า “ถ้ายังมีใครข้องใจกับอำนาจของเรา ก็แหงนหน้าขึ้นมามองความอลังการของสิ่งที่เราสร้างซะก่อนเถอะ” (Let he who doubts our power, look upon our architectures) หรือถ้าบ้าน ๆคงจะบอกว่า กระดูกคนละเบอร์ อย่าทำมาเกรียน  นี่คือความภูมิใจขั้นสุดของชนเผ่าเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตบนหลังม้า และกางเต้นท์นอนไม่เป็นหลักแหล่ง

อามีร์ ตีมูร์  สร้างอะไร มันจะต้องสวยงาม ยิ่งใหญ่ ตระการตาจนผู้คนตะลึง...

สายการบินอุซเบกิสถาน มีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ – ทาสเค้นท์

นี่แหละรูปปั้นมหึมาของท่าน อามีร์ ทิมูร ผู้ยิ่งใหญ่ ที่บ้านเกิดของท่าน ด้านหลังคือซากปรักหักพังของพระราชวังสีขาว อั๊กซาราย

ความอลังการของสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งที่ซามาร์คานด์

หนุ่มน้อย ไกด์สมัครเล่น

สถานที่ฝังศพของภริยาเอกของท่าน ตีมูร์ Bibi-Khanym ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี ประตูทางเข้าสูงถึง 50 เมตร สร้างมา 600 ปีแล้ว

ความอลังการจากมุมสูง

รถไฟความเร็วสูงจากทาสเค้นท์ไป ซามาร์คานด์

ระหว่างทาง

สถานที่ฝังศพท่าน อามีร์ ตีมูร์

จดหมายท่านตีมูร์ถึง พระเจ้าชาร์ลส  6 แห่งฝรั่งเศส

โฉนดที่ดินยุคท่านตีมูร์

บันทึกชีวประวัติของเอกบุรุษแห่งเอเซียกลาง

เครดิต Aziza Hana



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook