ช็อกในเช้าเดียว! หมอเจอ 11 ผู้ป่วย "มะเร็งระยะท้าย" ชี้เป้า 1 นิสัยแก้หนาว ที่ใครก็ชอบทำ!!
Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
//s.isanook.com/ns/0/ud/1972/9864226/newnewnewnewnewnewnew-thumbna.jpgช็อกในเช้าเดียว! หมอเจอ 11 ผู้ป่วย "มะเร็งระยะท้าย" ชี้เป้า 1 นิสัยแก้หนาว ที่ใครก็ชอบทำ!!

ช็อกในเช้าเดียว! หมอเจอ 11 ผู้ป่วย "มะเร็งระยะท้าย" ชี้เป้า 1 นิสัยแก้หนาว ที่ใครก็ชอบทำ!!

แชร์เรื่องนี้

ช็อกห้องตรวจ! หมอจีนเจอคนไข้เป็น "มะเร็งระยะสุดท้าย" พร้อมกัน 11 รายในเช้าเดียว ชี้เป้าต้นเหตุพฤติกรรม "แก้หนาว" ที่คนไทยก็ชอบทำ

เป็นสถิติที่น่าตกใจและชวนขนลุก เมื่อแพทย์พบผู้ป่วยถึง 11 ราย ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น "มะเร็งหลอดอาหารระยะลุกลาม" ในการตรวจเช้าวันเดียวกัน โดยทั้งหมดมีจุดร่วมคือพฤติกรรมความเคยชินบางอย่างในช่วงหน้าหนาว

สื่อต่างประเทศรายงานข่าวกรณีศึกษาจากโรงพยาบาลมะเร็งแห่งหนึ่งในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เมื่อแพทย์ได้ทำการส่องกล้องอัลตราซาวด์คนไข้ และพบผลลัพธ์ที่น่าเศร้าคือ คนไข้ทั้ง 11 รายที่มาตรวจในเช้าวันนั้น ล้วนป่วยเป็นมะเร็งหลอดอาหารในระยะลุกลาม

แม้สาเหตุของมะเร็งในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน แต่แพทย์ได้ออกคำเตือนเร่งด่วนถึง "พฤติกรรมยอดฮิต" ที่คนนิยมทำเพื่อคลายหนาว นั่นคือ การดื่มน้ำร้อนจัดและทานอาหารร้อนจัด ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายหลอดอาหารโดยไม่รู้ตัว

ข้อมูลจากองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติระบุว่า มะเร็งหลอดอาหารติด 1 ใน 10 มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในโลก และมันไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคชะตา แต่เกิดจากพฤติกรรมการกินล้วนๆ ดังนี้:

1. ชอบกิน "ของร้อนจัด" ระวังหลอดอาหารพัง

ไม่ว่าจะน้ำซุปร้อนๆ ชาร้อนควันฉุย หรือติ่มซำที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ หลายคนชอบทานตอนกำลังร้อนจัดเพื่อสู้กับอากาศหนาว แต่ความร้อนที่เกินพอดี (เกิน 65 องศาเซลเซียส) จะเข้าไปลวกและทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร หากเกิดการระคายเคืองซ้ำๆ เป็นเวลานาน เซลล์จะอักเสบและกลายพันธุ์เป็นมะเร็งในที่สุด

2. ผักดอง/ของหมักดอง อร่อยลิ้นแต่กินบ่อยเสี่ยงมะเร็ง

ผักดองมีรสชาติจัดจ้านช่วยเจริญอาหาร แต่แฝงไปด้วยอันตรายหากกินติดต่อกันนานๆ เพราะในกระบวนการหมักดอง ไนเตรตตามธรรมชาติจะเปลี่ยนเป็น "ไนไตรต์" (Nitrite)

เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ไนไตรต์จะจับตัวกับสารเอมีนกลายเป็น "ไนโตรซามีน" (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตัวร้าย นอกจากนี้ความเค็มจัดของผักดองยังกัดกร่อนเยื่อบุหลอดอาหาร เพิ่มความเสี่ยงการอักเสบเรื้อรังที่สะสมนานนับปี

3. สายรีบ! เคี้ยวไม่ละเอียด-กินเร็วเกินไป

การกินมูมมาม เคี้ยวไม่ละเอียด แล้วกลืนทันที ไม่เพียงทำให้ท้องอืด แต่เศษอาหารที่แข็งและหยาบจะครูดและบาดเยื่อบุหลอดอาหารจนเกิดแผล เมื่อแผลเกิดขึ้นซ้ำๆ ซ่อมแซมตัวเองซ้ำๆ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายได้

4. เหล้า-บุหรี่ คู่หูมรณะ

ปัจจัยคลาสสิกที่ขาดไม่ได้ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก คือการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง มันทำลายเยื่อบุหลอดอาหารโดยตรงและเร่งกระบวนการเกิดมะเร็งให้เร็วยิ่งขึ้น


เช็กด่วน! สัญญาณเตือน "มะเร็งหลอดอาหาร" ที่ร่างกายฟ้อง

มะเร็งชนิดนี้ในระยะแรกมักเงียบเชียบ แต่ถ้าสังเกตดีๆ ร่างกายจะส่งสัญญาณเหล่านี้:

  • รู้สึกเหมือนมีก้อนติดคอ: กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนมีอะไรขวางอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้กินอะไรก็ตาม
  • กลืนลำบาก: แรกๆ จะรู้สึกติดขัดเวลากินของแข็ง แต่พอลุกลาม จะเริ่มกลืนของเหลวหรือน้ำลำบากขึ้นเรื่อยๆ
  • เจ็บหน้าอก/หลังกระดูกอก: มักมีอาการปวดแสบ หรือเจ็บตื้อๆ บริเวณกลางอก โดยเฉพาะเวลากินอาหาร
  • เสียงแหบ: หากก้อนมะเร็งไปกดทับเส้นประสาทกล่องเสียง จะทำให้เสียงแหบแห้งเรื้อรัง ซึ่งต่างจากเสียงแหบเพราะเป็นหวัด

วิธีป้องกันก่อนสายเกินแก้

  1. คัดกรองเร็ว รอดเร็ว: การส่องกล้องกระเพาะอาหารและหลอดอาหารเป็นวิธีที่ดีที่สุด แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีความเสี่ยง ควรตรวจเช็ก หากปกติดีให้ตรวจซ้ำทุก 3-5 ปี
  2. ปรับพฤติกรรมการกิน: รอให้อาหารเย็นลงก่อนทาน (อุ่นๆ กำลังดี), เคี้ยวให้ละเอียด, เลี่ยงของหมักดอง ของทอด และอาหารรสจัด
  3. เลิกพฤติกรรมเสี่ยง: ลดละเลิกเหล้าและบุหรี่ รวมถึงหมั่นออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

บทเรียนจากผู้ป่วยทั้ง 11 รายนี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีว่า 'ความอร่อย' บางครั้งก็มาพร้อมกับ 'อันตราย' หากเราไม่ระวัง แม้อากาศจะหนาวเหน็บแค่ไหน แต่การยอมเป่าอาหารให้เย็นลงสักนิด หรือลดละของหมักดองลงสักหน่อย ก็คุ้มค่ากว่าการต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับโรคร้าย เริ่มปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ เพื่อรักษาหลอดอาหารให้แข็งแรงอยู่คู่กับเราไปนานๆ ดีกว่า

ดังนั้น อย่ารอให้ร่างกายส่งสัญญาณประท้วงจนสายเกินแก้ เพียงแค่ความชอบในการ 'ซดร้อน' ชั่ววูบ อาจแลกมาด้วยความเจ็บปวดตลอดชีวิต กรณีของคนไข้ 11 รายนี้คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่า มะเร็งหลอดอาหารอยู่ใกล้ปากเราแค่เอื้อม หันมาทานอาหารปรุงสุกใหม่ในอุณหภูมิที่พอดี เลี่ยงของหมักดอง และหมั่นสังเกตตัวเอง คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :SOHA