IMFชี้ศก.ไทยฟื้นตัวหลังวิกฤติการเมือง
รายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ระบุว่า เศรษฐกิจของไทย ได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น หลังต้องประสบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ และวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่เตือนว่า การขาดความเสถียรของเงินทุนไหลเข้าในปัจจุบัน อาจทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ขณะที่รายงานล่าสุด จากสถานบันสินเชื่อ ในกรุงวอชิงตัน ระบุว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันของไทย ได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศ
นอกจากนี้ ผลวิจัยของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ยังตระหนักดีว่า จุดยืนทางเศรษฐกิจของประเทศไทย กลับมามีความโดดเด่นอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และความวุ่นวายทางการเมือง ภายในประเทศ ขณะที่มีการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP อยู่ที่ร้อยละ 60 และ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ควรถึงร้อยละ 7.5 ในปีนี้ และร้อยละ 4 ในปี 2011
อย่างไรก็ดี IMF ยังออกคำเตือนด้วยว่า ประเทศไทย ยังคงมีความเสี่ยงในช่วงขาลง อีกทั้งการชะลอตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ยังอยู่ในระดับที่ค่อยข้างสูง อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจฉุดอุปสงค์ในประเทศให้ลดน้อยลง รวมถึงควรหามาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้อิสระแก่เงินทุนไหลออก
ขณะที่รายงานล่าสุด จากสถานบันสินเชื่อ ในกรุงวอชิงตัน ระบุว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันของไทย ได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศ
นอกจากนี้ ผลวิจัยของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ยังตระหนักดีว่า จุดยืนทางเศรษฐกิจของประเทศไทย กลับมามีความโดดเด่นอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และความวุ่นวายทางการเมือง ภายในประเทศ ขณะที่มีการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP อยู่ที่ร้อยละ 60 และ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ควรถึงร้อยละ 7.5 ในปีนี้ และร้อยละ 4 ในปี 2011
อย่างไรก็ดี IMF ยังออกคำเตือนด้วยว่า ประเทศไทย ยังคงมีความเสี่ยงในช่วงขาลง อีกทั้งการชะลอตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ยังอยู่ในระดับที่ค่อยข้างสูง อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจฉุดอุปสงค์ในประเทศให้ลดน้อยลง รวมถึงควรหามาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้อิสระแก่เงินทุนไหลออก