รายงาน-ยาหอมก้อนแรกปชป.กินรวบ
// //
นี่คือสัจธรรมของนักการเมืองทุกยุคสมัย ที่พอมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ก็มักจะทุ่มงบประมาณเพื่อซื้อใจมวลชน ซึ่งถือว่าได้ผลเกินคาด
เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยการนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผนึกกำลังกับกลุ่มการเมืองที่ทรยศต่อระบอบทักษิณ เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ด้วยข้ออ้างเข้ามาแก้วิกฤติเศรษฐกิจในยุคขาลง และวิกฤติสังคมแตกแยกเสื้อเหลือง-แดง
จึงต้องแก้ด้วยปฏิบัติการหว่านงบประมาณกลางปี 2552 ร่วม 1.15 แสนล้านบาท ตามมาตรการและการกระตุ้นเศรษฐกิจลอตใหญ่
แบ่งเป็นงบรายจ่ายตามมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลและตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจรวม 95,860 ล้านบาท กับงบประมาณเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 1.9 หมื่นล้านบาท
คาดว่าภายใน 1-2 เดือนจะอัดฉีดเม็ดเงินทั้งหมดเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เกิดการใช้จ่าย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในขั้นโคม่าให้กลับฟื้นขึ้นมาได้
เมื่อผ่าแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการซื้อใจมวลชนรากหญ้า
ย่ำรอยนโยบายประชานิยม อดีตรัฐบาลทักษิณ แทบจะทุกกระเบียดนิ้ว แม้รัฐบาลจะอ้างว่าเป็นการเติมเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อก็ตาม
ที่สำคัญ งบประมาณหลักๆ ก็ล้วนไปกระจุกอยู่ในกระทรวงที่พรรคประชาธิปัตย์กำกับดูแลแทบทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น
โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ 18,970.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณอุดหนุนผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 2,000 บาท แต่ต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 1.4 หมื่นบาท ของ กระทรวงแรงงาน
โครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุ 9,000 ล้านบาท โดยการจ่ายดำรงชีพให้คนชราที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 6 ล้านคน ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
โครงการสนับสนุนการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี 1.9 หมื่นล้านบาท นโยบายหาเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเริ่มในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ มีผู้ปกครองเด็กที่ได้ประโยชน์ร่วม 12 ล้านคน ของ กระทรวงศึกษาธิการ
โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน 15,200 ล้านบาท ของ กระทรวงการคลัง ที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลทักษิณ
เป้าหมายเพื่อจัดสรรงบประมาณให้ทุกหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งเกทับอัดฉีดเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าจากโครงการเดิมที่เคยได้รับ
เหตุที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ตัดสินใจคงไว้ ก็เพื่อ ซื้อใจ มวลชนรากหญ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ที่เป็นจุดบอดของพรรคมาโดยตลอด
โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก 3,000 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินให้ อสม.กว่า 8.3 แสนคนทั่วประเทศ ของ กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ ประชาธิปัตย์ยังให้ความสำคัญในงบประมาณและแผนการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในสังคม วงเงิน 6,976 ล้านบาท เพื่อรองรับคนตกงานจากพิษเศรษฐกิจ อีกนับล้านชีวิต ในปีนี้
พร้อมทั้งอัดงบประมาณสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินวงเงิน 120 ล้านบาท ใช้ในการเตรียมจัดอบรมผู้ว่างงานในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับงบกลางปีที่เตรียมจะเสนอเข้าที่ประชุมสภาอีก 1 ก้อน
ที่น่าสนใจ คือ งบไปกระจุกที่ งบกลาง กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท กับ งบสำนักนายกรัฐมนตรี 1.52 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่ไม่มีรายละเอียดของโครงการชัดเจน
เป็นงบตามอำนาจของ นายกรัฐมนตรี ในการเซ็นอนุมัติโครงการ !!!
งบสองก้อนนี้แหละ เมื่อครั้งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านเคยออกมาตั้งคำถามตลอดถึงความไม่โปร่งใสในการใช้จ่าย
โดยเฉพาะในส่วนของงบกลาง ที่นำไปหว่านเกี่ยวกับนโยบายหาเสียงของรัฐบาลทักษิณ โนโครงการ ทัวร์นกขมิ้น ที่หว่านเงินแบบไม่อั้น
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่างบประมาณทั้งหมดไปกระจุกอยู่ในฐานบัญชาการหลักของ พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนั้น
ผิดกับกระทรวงสำคัญที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเกรดเอ แต่อยู่ในโควตาของพรรคร่วมอย่าง กระทรวงพาณิชย์ ของพรรคภูมิใจไทย ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำลังฉุดเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ดูแลปัญหาเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตร ที่ม็อบต่างๆ มาจับจองพื้นที่หน้ากระทรวงเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไขปัญหา ตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาล ยังไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึง กระทรวงอุตสาหกรรม ของพรรคเพื่อแผ่นดิน
หรือแม้แต่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่รัฐบาลเตรียมใช้เป็นจุดขายในการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ไทยมีศักยภาพสูง กลับได้รับเงินเพียง 550 ล้านบาท เท่านั้น
ทั้งหมดนี้ แม้จะยังไม่เห็นเม็ดเงินที่เพียงพอสมน้ำสมเนื้อ เพื่อช่วยคลี่คลายวิกฤติ ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วนของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้
ทว่าเงินก้อนแรกของรัฐบาลที่เตรียมหว่านลง กลับมองได้ว่าเป็นเพียงการปูทางขยายฐานเสียงให้แก่ พรรคประชาธิปัตย์
เพราะอย่างน้อยที่สุด หากรัฐบาลอยู่ไม่ยืด ประชาธิปัตย์ก็ยังมีโอกาสนำงบก้อนนี้ไปหากินได้อีกทอด ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า !!!
บัญชา แข็งขัน
ภูมิใจไทย:ก้าวสำคัญของเนวิน
การเมืองแบบไทยๆ อะไรๆ ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ฟัดกันแทบจะตายกันไปข้าง วันหนึ่งก็อ้าขาผวาปีกเข้าหากันได้อย่างไม่เคอะเขิน