เอ็น.ซี.ฯ เร่งปล่อยสต๊อก บ้านค้างมูลค่าร่วม 5,000 ล.
น.พ.สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเปล่าที่รอการพัฒนาอยู่ประมาณ 800 ไร่ ในย่านลำลูกกา รังสิต และพัทยา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะพัฒนา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ก็รอจังหวะที่พัฒนาโครงการออกมารองรับกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงขณะนี้ก็มองหาที่ดินเพื่อเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ด้วย ส่วนแผนในครึ่งปีหลังบริษัทจะเร่งขายสินค้าที่มีอยู่ในสต๊อกมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทรับรู้รายได้ต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้
โครงการใหม่ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในการหาที่ดินใหม่ ซึ่งยังไม่สรุปออกมา ส่วนโครงการของเราสต๊อกกำลังจะหมดลง คาดว่าในปลายไตรมาสที่ 3 นี้น่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ได้ โดยดูสภาพตลาดเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้กระแสเงินสดเริ่มเป็นบวกแล้ว เพราะตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้น ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกบริษัทก็ทำกำไรได้ 47 ล้านบาท ตลอดทั้งปีน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะขาดทุนจากรายได้ต่ำและมีค่าใช้จ่ายสูง น.พ.สมเชาว์ กล่าวและว่า
สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 1,200-1,300 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้กว่า 600-700 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนโครงการที่คาดว่าจะปิดการขายได้ในปีนี้ น่าจะเป็นโครงการบ้านฟ้าปิยรมย์ พรีเมียร์ พาร์ค 7 และ 8 โครงการบ้านฟ้า กรีนพาร์ครอยัล พุทธมณฑล
น.พ.สมเชาว์ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทได้จัดแคมเปญ เอ็นซี ควิก พลัส ออกมากระตุ้นตลาดด้วย อาทิ การมอบรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป การมอบแพ็กเกจท่องเที่ยวมัลดีฟส์ สำหรับผู้ที่โอนบ้านเร็วที่สุด และการมอบของตกแต่งบ้านสำหรับผู้ที่โอนบ้านภายในระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น โดยปีนี้ได้ใช้งบประมาณการทำตลาดและโฆษณาประมาณ 30 ล้านบาท
สิ่งที่กังวลใจในช่วงปลายปี คือ เรื่องการเมือง และราคาน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าคงขึ้นราคาไม่เยอะ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ถ้าขึ้นเยอะคนจะลดการใช้ ราคาก็คงลดลงมา เรื่องการเมืองน่ากังวลใจมากกว่า ส่วนดอกเบี้ยมีแนวโน้มขึ้น แต่คงไม่เยอะ และคงไม่ต่ำกว่านี้ ถ้าขึ้นเยอะคนก็ไม่มีเงินจะซื้อ ซึ่งกลไกตลาดจะเป็นตัวควบคุมเอง ส่วนการแข่งขันก็ยังจะสูงเหมือนเดิม เพราะผู้ประกอบการต้องหาโปรโมชัน ทำตลาดมากขึ้น แต่ก็ไม่ลดราคากันมาก ซึ่งเราเองก็เพิ่มช่องทางและวิธีการทำตลาดมากขึ้น เช่น เรื่องการออกบูธ การเทเลมาร์เก็ตติ้ง การหาโปรโมชัน การใช้สื่อออนไลน์ การส่งเอสเอ็มเอส