วันนี้(18 ส.ค.) ผู้สื่อ
ข่าวรายงานว่า นายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนมีคำสั่งไม่รับฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1121/2552 พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สมัชชาคนจนแห่งประเทศไทย และอดีตประธานกรรมาธิการคมนาคม ยุคสนช.และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาคนจนแห่งประเทศไทย และนายกฤษฎา วัฒนพงศ์ ทนายความ เดินทางมายื่นฟ้อง คณะรัฐมนตรี(ครม.), นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานกำกับนโนยบายด้านรัฐวิสาหกิจ, นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม, กระทรวงคมนาคม, การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-7 เรื่องกระทำการโดยมิชอบ กรณีที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.52 ให้ปรับปรุงโครงสร้างบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานทางการเงินของรฟท.โดยให้โอนทรัพย์สิน รฟท. มูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ ภายใน 180 วัน ให้เอกชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินรถไฟ และให้ รฟท.จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ และบริษัทเดินรถ ถือ รฟท. ถือ
หุ้นเต็มร้อยเปอร์เซ้นต์ อันเป็นการนำทุนบางส่วนของรัฐวิสาหกิจมาแปรสภาพเป็น
หุ้นบริษัทโดยมิชอบ ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 57 และ 87 ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 รวมทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305
โดยศาลพิเคราะห์ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าคดีนี้ครม.ผู้ถูกฟ้องที่ 1 แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นการใช้อำนาจในฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่ใช้อำนาจบริหาราชการแผ่นดินและดำเนินตามนโยบายรัฐบาลตามหน้าที่ของ่ายบริหาร จึงไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนที่ ครม.มีมติอนุมัติหลักการปรับปรุงโครงสร้างฯนั้น ศาลเห็นว่าไม่ได้ทำให้การรถไฟฯ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนแปลงไป และจะจัดตั้งบริษัทลูกแต่การรถไฟฯ ก็ยังถือหุ้นร้อยละ 100 รวมถึงบริษัทลูกก็ยังมาสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ฟ้องอ้างว่า เป็นประชาชนที่ต้องเสียภาษีอากร เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องชำระภาษีให้รัฐบาลอยู่แล้ว ผู้ฟ้องทั้งสาม จึงไม่ได้เป็นผู้เสียหายหรือเดือดร้อนโดยตรงที่จะมีสิทธิมาฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ.