ผู้เชี่ยวชาญเตือน “ลูกทำร้ายพ่อแม่” คือความรุนแรงใหม่ในช่วงล็อกดาวน์ COVID-19

ผู้เชี่ยวชาญเตือน “ลูกทำร้ายพ่อแม่” คือความรุนแรงใหม่ในช่วงล็อกดาวน์ COVID-19

ผู้เชี่ยวชาญเตือน “ลูกทำร้ายพ่อแม่” คือความรุนแรงใหม่ในช่วงล็อกดาวน์ COVID-19
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คุณเวรา บาร์ด กรรมาธิการด้านสิทธิของผู้ถูกกระทำความรุนแรงในอังกฤษและเวลส์ กล่าวว่า มีรายงานเกี่ยวกับ “ความรุนแรงในครอบครัวรูปแบบใหม่” ที่เพิ่มสูงขึ้น นั่นคือกรณีที่พ่อแม่ถูกลูกทำร้าย ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ลูกต้องการออกไปนอกบ้าน แต่พ่อแม่ไม่อนุญาต และสิ่งที่น่ากังวลก็คือ ผู้ที่กระทำความรุนแรงเป็นวัยรุ่น

คุณเวรากล่าวว่า มีการโทรขอความช่วยเหลือจากสายด่วนและบริการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการโทรแจ้งตำรวจ

“ไม่มีใครแปลกใจที่ความรุนแรงในบ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการหนีออกจากความรุนแรงนั้นก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ทำให้เหยื่อต้องอยู่ร่วมชายคากับผู้ที่กระทำความรุนแรงต่อไป” คุณเวรากล่าว พร้อมเสริมว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจัดการกับปัญหาความรุนแรงในบ้านในช่วงล็อกดาวน์ช้าเกินไป

“สิ่งที่เรากังวลก็คือ สถานการณ์นี้อาจจะแย่ลงเรื่อยๆ และความรุนแรงในครอบครัวก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไข ความรุนแรงทางเพศก็เป็นอีกประเด็นที่เรากังวลมาก และ 2 ใน 3 ของความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นภายในบ้าน” คุณเวราระบุ

นอกจากนี้ เธอยังคาดการณ์ว่า “คลื่นสึนามิของการร้องเรียน” จะถาโถมเข้ามาทันทีที่มีการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลวางแผนรองรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่สถานที่พักพิงสำหรับผู้ถูกกระทำความรุนแรงก็เต็ม และบ้านพักฉุกเฉินซึ่งเป็นข้อเสนอของกลุ่มโรงแรมและมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา

และนอกจากข้อกังวลเรื่องการว่างงานและเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว บริการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงยังได้รับสายร้องเรียนเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารและเงินอีกด้วย

ผู้กำกับการพอล กริฟฟิธส์ หัวหน้ากองกำกับการตำรวจ คาดการณ์ว่า ภาวะการว่างงาน ซึ่งจะนำไปสู่การค้ายาเสพติดและความรุนแรงในครอบครัว จะก่อให้เกิด “ผลกระทบทางสังคมอย่างใหญ่หลวง”

“เมื่อใดที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ อาชญากรรมและความวุ่นวายจะเกิดขึ้นตามมา”

แม้ว่าอาชญากรรมในภาพรวมจะมีจำนวนลดลงอย่างน้อย 28% ในช่วงล็อกดาวน์ แต่คุณเวราก็กล่าวว่า มีรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมต่อต้านสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีความหงุดหงิดและโกรธเคืองง่ายขึ้นกับเรื่องเล็กๆ อย่างเสียงรบกวน และรัฐบาลต้องจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง

ขณะเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมก็ไม่เอื้อให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากขณะนี้อาคารศาลกว่าครึ่งปิดทำการ ไม่มีการพิจารณาคดี ยกเว้นคดีอาญาที่มีความเร่งด่วนเท่านั้น ซึ่งคุณเวราได้กล่าวกับคณะกรรมการยุติธรรมว่า ผู้ถูกกระทำความรุนแรงมักจะไม่รู้เรื่องคดี จนกระทั่งนาทีสุดท้าย ส่งผลให้คดีของคนกลุ่มนี้ต้องล่าช้าออกไป ในขณะที่บางคนมีความสับสนกับกฎระเบียบต่างๆ ในการขึ้นศาล หรือมีปัญหาด้านสุขภาพ ความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงถอนฟ้อง

นอกจากนี้ คุณเวรายังเรียกร้องให้มีการจัดลำดับความสำคัญของสิทธิของผู้ถูกกระทำ หลังจากที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาว่าจะพัฒนาการสนับสนุนภารกิจนี้ โดยต้องให้สิทธิที่คนกลุ่มนี้ควรได้รับ และให้การดูแลที่ดีกว่านี้

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook