สาวโพสต์แจง ไม่เข้าอาคารกักตัวสัตหีบ ยันไม่ได้อยากสบาย แต่นอน 3 คน จะป้องกันเชื้ออย่างไร
จากกรณีที่ วานนี้(4 เม.ย.) คนไทยที่กลับจากต่างประเทศที่มีปัญหาที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพามากักตัวที่อาคารรับรองสัตหีบ 291 คน และมี 23 คน ที่ไม่ยอมขึ้นเข้าพักในอาคาร แม้เจ้าหน้าที่ทหารเรือจะพยายามเกลี้ยกล่อมแต่ก็ไม่ยอม จึงนำตัวส่งกลับสนามบินสุวรรณภูมินั้น
>> ส่ง 23 คนไทยกลับสุวรรณภูมิ หลังไม่ยอมขึ้นอาคารรับรอง ทร.สัตหีบ ที่กักตัว
ล่าสุดในเฟซบุ๊กของหญิงสาว 1 ใน 23 คน ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์นับตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากสหรัฐฯ พร้อมชี้แจงว่า ตนไม่ได้ต้องการความหรูหรา หรือสะดวกสบาย และยินดีให้ความร่วมมือกับมาตรการกักตัว แต่เหตุที่ไม่ยอมเข้าพักที่อาคารรับรองสัตหีบ เพราะถามเจ้าหน้าที่ถึงการป้องกันการติดเชื้อ ในกรณีที่ต้องพักรวมกันห้องละ 3 คน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
โดยเนื้อหาทั้งหมด ระบุว่า
จากเหตุการณ์ทั้งหมด ตอนนี้เราได้รับการกักตัวในพื้นที่กทม.ตามที่รัฐจัดไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณพี่ๆ เจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน จากที่ไม่ได้ความชัดเจนมาตลอดทั้งวันที่ 3 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่เราเดินทางมาถึงประเทศไทย
ต่อจากนี้ อยากขอให้ทุกคนตั้งสติและอ่านกันให้ดีค่ะ
ขออนุญาตลำดับเหตุการณ์ให้อ่าน เพื่อได้แบ่งปันประสบการณ์และเสนอในอีกแง่มุมนึงของคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นทางสังคมอยู่ตอนนี้นะคะ จะได้เก็บไว้เป็นบันทึกของตนเองด้วย
ก่อนอื่น ขอบอกก่อนว่า เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มไฟลต์ที่ได้กลับบ้านนะคะ เราคือกลุ่มคนเดินทางกลุ่มแรก เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยไฟลต์ QR836 ถึงเมืองไทยเวลา 13.00 น. ของวันที่ 3 เมษายน
เราต้องเดินทางไปประชุมและช่วยงานที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลา 3 เดือน เดิมทีมีกำหนดการเดินทางกลับวันที่ 30 เมษายน แต่ด้วยสถานการณ์ที่มันไม่ดีขึ้นและการบินไทยประกาศยกเลิกเที่ยวบิน ทำให้เราคิดว่ามีความจำเป็นต้องกลับประเทศไทยก่อนกำหนด เนื่องจากกลัวจะติดปัญหาเรื่องวีซ่าหากมีการปิดประเทศและห้ามเดินทางเข้าประเทศ ในวันที่ 31 มีนาคม เราจึงตัดสินใจซื้อตั๋วกลับประเทศไทยที่มีกำหนดเดินทางวันที่ 2 เมษายน และจะถึงประเทศไทยในวันที่ 3 เมษายน และได้ดำเนินการทำเรื่องขอเอกสารเพื่อรับอนุญาตการเดินทางตามมาตรการที่รัฐบาลประกาศก่อนหน้านี้ (ใบรับรองแพทย์ Fit to Fly และ หนังสือรับรองจากสถานทูต ) โดยได้รับเอกสารทั้งหมดจากสถานทูตเรียบร้อย
วันที่ 2 เมษายน ก็มีประกาศขอให้ชะลอคนไทยเข้าประเทศ ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมง เราโทรสอบถามกับสถานทูตไทยเพื่อทราบถึงสถานการณ์ โดยได้คำตอบว่า ถ้ามีใบรับรองจากทางสถานทูตก็ยังสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ทั้งนี้ สถานทูตก็ได้ทราบเรื่องจากข่าวเช่นเดียวกับเรา และ ณ เวลานั้นยังไม่มีการแจ้งว่า ถ้ากลับมาแล้วจะต้องอยู่ภายใต้การกักตัวของรัฐบาล เพราะยังไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการ ซึ่งการเดินทางก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
จนมาถึงการต่อเครื่องที่โดฮา เราเห็นประกาศอย่างเป็นทางการและสะดุดตาตรงที่ "ผู้ที่เดินทางสัญชาติไทย จะต้องเข้ารับการกักกันเฝ้าระวังในทุกกรณี ในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐกำหนด" เลยอยากให้เข้าใจตรงนี้ก่อนว่า ประกาศนั้นออกมาในช่วงรอยต่อระหว่างที่เราเดินทางค่ะ ฉะนั้นมาตรการการรับมือใดๆ ก็ยังไม่มีใครทราบ
จริงๆ แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าจะต้องกักตัว 14 วันหลังจากเดินทางถึงประเทศไทย แต่เราไม่ได้ทราบมาก่อนที่จะขึ้นบินว่า ถ้ากลับมาแล้วจะต้องกักตัวภายใต้การดูแลและจัดการของรัฐบาล *ขออนุญาตเพิ่มเติม ก่อนเดินทาง เราและครอบครัวได้มีการวางแผนการกักตัว 14 วัน ซึ่งเราก็อาจจะโชคดีที่บ้านพอจะมีพื้นที่และบริเวณโดยประมาณ ทางครอบครัว ก็ได้จัดเตรียมห้องที่มีการแยกออกมาจากตัวบ้านเพื่อกักตัวเรา แผนที่เราจะใช้ในการเดินทางกลับจากสนามบินไปยังบ้านคือ เราจะขับรถส่วนตัวกลับเอง โดยคนที่บ้านจะขับไปจอดในบริเวณ Departure และนำกุญแจไว้ในรถ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสและการใกล้ชิด (เท่าที่คุยกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ทุกคยก็มีการเตรียมการประมาณเดียวกัน)
หลังจากลงเครื่อง ก็ได้ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอน ยื่นเอกสารต่างๆ และดำเนินการไปตามที่เจ้าหน้าที่บอก หลังจากจัดการผู้โดยสารได้เป็นจำนวนกลุ่มหนึ่ง เจ้าหน้าที่พาเราทุกคนไปนั่งรอเพื่อรับเอกสารคืน พร้อมประกาศว่า ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้กลับบ้าน ทุกคนจะต้องถูกพาตัวไปตามสถานที่รัฐกำหนดให้ตามภูมิลำเนา แต่ยัวไม่สามารถระบุรายละเอียดอื่นๆได้ บอกได้เพียงว่าไม่ได้กลับบ้าน หลังจากนั่งรอเป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่นำเอกสารมาคืนแก่ผู้โดยสารทุกคน และพาไปยังที่รับกระเป๋า หลังจากนั้น บอกให้ทุกคนตั้งแถวและเดินตามเพื่อไปขึ้นรถบัส ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งว่าจะเดินทางไปที่ไหน สอบถามกันไปมา ได้ข้อความว่า จะพาไปสถานีดับเพลิงเพื่อรับฟังข้อชี้แจงและข้อปฏิบัติ
มาถึงสถานีดับเพลิงของการท่าอากาศยานฯ ได้มีการจัดเก้าอี้แบบแถวตอนลึก โดยมีเว้นระยะห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนนั่งรอไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำตอบหรือข้อความใดๆ จากทางเจ้าหน้าที่ บอกได้แต่เพียงว่ายังคงรอผลสรุปจากการประชุม รวมแล้วเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง นับตั้งแต่ลงจากเครื่องมาถึงสถานีดับเพลิง ที่เราไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ ถามใครก็ตอบไม่รู้ ไม่มีใครตอบอะไรได้สักอย่าง ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนใดๆ ออกมา จากการนั่งรอเฉยๆ ก็เริ่มมีคนแสดงความไม่พอใจ จนในที่สุด มีการประกาศว่า... ขอให้ทุกคนขึ้นรถบัส เราจะพาทุกท่านไปตรวจหาเชื้อและสามารถกลับบ้านได้ โดยจะประกาศชื่อตามรถ ซึ่งมาถึงตรงนี้ทุกคนก็ดีใจ เจ้าหน้าที่ต้อนทุกคนขึ้นรถพร้อมขนกระเป๋า นั่งรออยู่บนรถเป็นเวลาอีกกว่าชั่วโมง ก็ไม่มีคำตอบว่าจะเดินทางไปที่ไหน จนสุดท้ายทราบว่า เรากำลังเดินทางไปสัตหีบ อ่ะ! ใจคนอ่ะเนอะ มันเฟลอ่ะ ตอนแรกบอกจะพาไปตรวจและให้กลับบ้าน อิหยังวะ
เมื่อเดินทางมาถึงสัตหีบ ทางเจ้าหน้าที่ประกาศผ่านเสียงตามสาย ถึงวิธีการจัดการสัมภาระเพื่อทำการฆ่าเชื้อ พร้อมประกาศเงื่อนไขการกักตัว ว่าให้จับกลุ่มเลือก roommate กัน 3 คน โดยแยกชาย-หญิง 3 คนนี้คือคนที่ไม่รู้จักกันมากก่อน แต่ต้องมาอยู่ในห้องเดียวกัน 14 วัน ทำให้มีกลุ่มผู้โดยสารจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย และขอยืนยันจะไม่เข้าที่พักด้วยเหตุผลที่ขอคำชี้แจงแล้วว่า การกักตัวรวมกัน 3 คน ต่อ 1 ห้องนั้นมีความปลอดภัยอย่างไร เป็น Social Distancing อย่างไร แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนให้คำตอบได้ ซึ่งเราคือหนึ่งในนั้น ตัวเราเองยินดีที่จะปฏิบัติและให้ความร่วมมือในการกักตัว ถ้าเป็นการกักตัวที่มีการจำกัดและจัดการระยะห่างอย่างเหมาะสม
สุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ถ้าเรายืนยันไม่เข้าที่พักตามเงื่อนไขที่กำหนด ขอให้เดินทางกลับไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อหาข้อสรุป ซึ่งในระหว่างทางกลับจากสัตหีบ คนขับรถก็ได้รับคำสั่งให้พาพวกเราไปสถานที่กักตัวอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่รัฐจัดการให้แถวสุวรรณภูมิ (ไม่ได้จัดให้เป็นพิเศษอะไรนะคะ เป็น 1 ใน 3 ที่ ที่ทางรัฐเตรียมไว้อยู่แล้ว)
ณ ตอนเช้าของวันที่ 4 เมษา เราได้รับการกักตัวที่สถานที่ที่ทางรัฐจัดเตรียมให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมคำอธิบายและมาตรการการจัดการที่ชัดเจน ก่อนที่จะทำการย้ายเข้าที่พัก
ขอขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน ที่ทำงานหนักมาตลอดเวลาทั้งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
และขอฝากความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาไว้ที่นี้ด้วยนะคะ สำหรับใครที่คิดว่า เรา 23 คนปฏิเสธการกักตัว หรือ ตั้งข้อเรียกร้องเพื่อความสบายนั้น ขออนุญาตย้ำอีกครั้งว่า เราไม่ได้ต้องการสถานที่หรูหราหรือความสะดวกสบายอะไร เราขอแค่การกักตัวที่อธิบายได้ว่าการอยู่แบบนั้น สามารถป้องกันการติดเชื้อและเผยแพร่เชื้อสู่คนอื่นได้เท่านั้นค่ะ ขอบคุณค่ะ