ทหารพิษณุโลกเป็นกรรมการมวย ติดเชื้อโควิด-19 นั่งรถทัวร์กลับค่ายสังสรรค์กับเพื่อน 19 คน

 

(21 มี.ค.63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้โพสต์ระบุว่า ขอชาวพิษณุโลกทุกคนร่วมใจพักผ่อนอยู่บ้าน ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อป้องกันการออกไปติดเชื้อโควิด-19 ในที่ชุมชนแออัด ในที่สาธารณะ พักผ่อนอยู่บ้าน ช่วยหมอช่วยชาติหยุดยั้งโควิด-19  และในท้ายโพสต์ผวจ.พิษณุโลกยังโพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า พิษณุโลกเข้าสู่โซนอันตรายแล้วจากโควิด 19 มีกรรมการมวยจากสนามมวยลุมพินีเข้าพื้นที่ค่ายบชร. สัมผัสกับทหาร 19 นาย ซึ่งเราได้ทำการกักตัว 14 วันแล้ว ขอให้พวกเราระมัดระวังตนเองขั้นสูงสุดครับ อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ เราเข้าสู่โซนอันตรายแล้วพิษณุโลก ขอให้งดกิจกรรมที่รวมคนมากๆ งานสังสรรค์ งานบวช งานแต่ง โต๊ะจีน สัมมนา 

วันเดียวกันเพจ Army times Thailand  ระบุว่า พลโทฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 ยืนยัน กำลังพลของกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ ติดเชื้อโควิด-19 จากสนามมวย เบื้องต้นส่งตัวรักษาที่กรุงเทพฯ แล้ว เจ้าตัว ไม่ได้อยู่ภายในค่าย แต่เป็นกรรมการสนามมวย แล้วขึ้นมารับเงินเดือนเมื่อช่วงหลายวันที่ผ่านมา แล้วเดินทางกลับกรุงเทพมหานครแล้วเกิดมีอาการจึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อจึงเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการของการรักษา

ทั้งนี้ผู้ที่สัมผัสกับกำลังพลคนดังกล่าว จำนวน 19 รายทางกองทัพได้ให้กับตัวเพื่อดูอาการเรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันว่าได้มีการประสานกับทางสาธารณสุขจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ประสานให้ทำการล้างฆ่าเชื้อและทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ทีมกำลังพลดังกล่าวเข้ามารับเงินเดือน

รายงานแจ้งว่า นายทหารที่เป็นกรรมการเวทีมวยลุมพินี เดินทางโดยรถทัวร์กลับมาที่หน่วยในค่ายเอกาทศรถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 และกลับในวันที่ 12 มีนาคม 2563 ระหว่างนั้นมีการสังสรรค์กับเพื่อน 19 คนในค่ายด้วย ขณะนี้มีการกักตัวเพื่อนทั้ง 19 นายเพื่อดูอาการ พร้อมกับมีการแจ้งภายในให้กำลังพลที่ไปสังสรรค์ให้ไปแสดงตัว อย่าปกปิด เพราะจะทำให้การแพร่ระบาดไปได้เร็ว 

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณูโลก รายงานสถานการณ์โรคโควิด 19 ของจังหวัดพิษณุโลก ข้อมูล  ณ วันที่ 20 มีนาคม 2563  ว่า ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโลกทั้งหมด 50 ราย ซึ่งผลตรวจไม่พบเชื้อ 49 รายรอผล 1 ราย ผู้ที่อยู่ระหว่างกักกันและคุมไว้สังเกตอาการเฝ้าระวังทั้งหมด 72 รายพ้นระยะการเฝ้าระวัง 112 รายอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 60 ราย