มติครม. ที่น่าสนใจ สั่งออมสิน ปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี -อนุมัติแผนประกันราคาข้าว

มติครม. ที่น่าสนใจ สั่งออมสิน ปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี -อนุมัติแผนประกันราคาข้าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2552 มีการอนุมัติหลักการ อนุมัติงบประมาณ และรับทราบแผนงานโครงการต่าง ตามที่คณะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้

@สั่งออมสินช่วยปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี

ครม.อนุมัติให้ธนาคารออมสิน ช่วยพิจารณาปล่อยสินเชื่อวงเงิน 5,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ประเภทขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามที่กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาเสนอ และให้มีการผ่อนปรนกฏเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ วงเงิน 5,000 ล้านบาท เป็นวงเงินที่คณะรัฐมนตรี เคยอนุมัติไว้ตามมติครม.เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยว แต่ถึงขณะนี้มีการอนุมัติปล่อยสินเชื่อได้เพียง 1,000 ล้านบาท และมีการจ่ายจริงไปเพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น

ครม.จึงพิจารณาอนุมัติให้มีการขยายเวลาในการปล่อยสินเชื่อออกไปจากที่เคยสิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 52 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ให้กับผู้ประกอบการรายละไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้ผ่อนปรนกฎเกณฑ์กรณีที่ไม่มีหลักฐานการเงินย้อนหลัง 5 เดือน และเป็นลูกค้าเอ็นพีแอล.ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 เป็นต้นมา สามารถปล่อยกู้ให้ได้

@อนุมัติแผนประกันราคาข้าว 52/53

ครม.เห็นชอบกรอบแนวทางและนโยบายข้าวประจำปีการผลิต 52/53 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่เปลี่ยนรูปแบบการแทรกแซงตลาดสินค้าข้าวจากการรับจำนำเป็นการประกันรายได้ให้กับเกษตรกร โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งจัดทำทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะเป็นหลักฐานสำคัญในการรับเกษตรกรเข้าโครงการประกันราคา

ครม.ยังได้สั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเกษตรกรว่าโครงการประกันราคามีผลดีต่อเกษตรกรมากกว่าการรับจำนำ ซึ่งในการประชุมกขช.ครั้งต่อไปจะมีการพิจารณาเรื่องราคารับประกันและแนวทางเสริมเสถียรภาพราคาข้าวต่อไป

นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำบันทึกความเข้าใจในสัญญาการซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ในลักษณะรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี โดยให้อำนาจเต็มกับรมว.พาณิชย์ในการเจรจาและลงนามในสัญญา หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความชัดเจนแล้วว่าสัญญานี้ไม่เข้าข่ายตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 รวมทั้งการขายมันสำปะหลัง ที่ได้เจรจากับจีนไปแล้วด้วย

ครม.ยังได้อนุมัติหลักการ และมอบอำนาจให้กรมการค้าต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ มีอำนาจเต็มในการเจรจา ลงนาม ในการขายสินค้าเกษตรทั้งหมดในโครงการับจำนำของรัฐบาลปี 2551/2552 ด้วย และให้กระทรวงพาณิชย์สามารถนำข้าวสารไปจำหน่ายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟท) ได้ โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเงินค่าข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 51/52 จำนวน 425 ล้านบาทที่ต้องให้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นหลักประกันในการซื้อขายข้าวสารในเอเฟท. และอนุมัติเงินงบกลาง ปี 52 ให้อคส. 24.64 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนให้กับนายหน้าหรือโบรกเกอร์ในการซื้อขายข้าวในเอเฟท. และค่าจ้างผู้จัดการการซื้อขายล่วงหน้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook