กลาโหมแจงที่มา งบ 20 ล้าน 'บิ๊กป้อม' เช่าเหมาลำ บินฮาวาย
จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการเผยแพร่ จากกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่เอกสาร การคำนวณราคากลางค่าใช้จ่ายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เดินทางไปประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน-รมว.กลาโหมสหรัฐอเมริกา อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN-US Defense Informal Meeting) ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท
ล่าสุด (2 ต.ค.) เฟซบุ๊กคุณวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง รายงานว่า พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวถึง กรณีมีดังกล่าวว่า การเดินทางไปร่วมประชุม มีความจำเป็นต้องเช่าเครื่องบินเหมาลำ เนื่องจากเป็นการเดินทางเป็นหมู่คณะ ที่มีกำหนดการแน่นอนไปยังจุดหมาย ที่ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ซึ่งการบริการจากสายการบินพาณิชย์ทั่วไป ต้องต่อเครื่องบินหลายครั้งและไม่ได้ทำการบินทุกวัน จึงไม่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน เครื่องบินของกองทัพอากาศเอง ก็ยังไม่พร้อมและไม่มีขีดความสามารถพอในเส้นทางดังกล่าว เนื่องจากต้องใช้เวลาบินถึง 19 ชม.และต้องบินลงเติมน้ำมันระหว่างเส้นทางถึง 2 ครั้ง การเช่าเครื่องบินเหมาลำจากการบินไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐด้วยกัน ที่มีความชำนาญและมีบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำอยู่แล้ว จึงมีความเหมาะสมกว่า
สำหรับการคำนวณราคากลางที่เผยแพร่กันอยู่นั้น " เป็นเรื่องปกติ ที่หน่วยงานรัฐจะต้องปฏิบัติ ตามระเบียบของทางราชการ รวมทั้งข้อบังคับของป.ป.ช.และนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ต้องเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อความโปร่งใส เนื่องจากเป็นงบประมาณแผ่นดิน
โดยการเช่าเหมาลำเส้นทางดังกล่าว ยังไม่เคยกำหนดราคากลาง จึงต้องให้ บ.การบินไทย ประมาณการค่าใช้จ่าย และเสนอหน่วยงานรัฐจัดทำเป็นราคากลางประกาศให้ทราบ ตามที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของหน่วยงานและกรมบัญชีกลาง ซึ่งทราบว่า บ.การบินไทย ได้คิดค่าใช้จ่ายระหว่างองค์กรของรัฐ ตามราคาต้นทุน ซึ่งตรวจสอบได้ และจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ"
โดยส่วนตัวมองว่า "เป็นเรื่องดี ที่สังคมปัจจุบัน มีความตื่นตัว เรียนรู้และมีส่วนร่วมในการทำงานของภาครัฐมากขึ้น ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีนโยบายที่ชัดเจน ให้ทุกส่วนราชการ ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการให้ถูกต้อง
และให้เป็นไปตามข้อบังคับขององค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างบรรทัดฐานการทำงานของภาครัฐ ที่เน้น เปิดเผย โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทั้งภาครัฐและประชาชน จำเป็นต้องมีส่วนร่วมเรียนรู้และทำความเข้าใจ ไปด้วยกัน"