มาร์คโปรยยาหอมนักลงทุนเชื่อมั่นไทย ยันหนุนเอฟทีเอ-คลอดก๊อก2กู้เงินกระตุ้นครึ่งปีหลัง

มาร์คโปรยยาหอมนักลงทุนเชื่อมั่นไทย ยันหนุนเอฟทีเอ-คลอดก๊อก2กู้เงินกระตุ้นครึ่งปีหลัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ เราจะชนะสิ่งท้าทายได้อย่างไร ในงาน นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สมาคมไทยญี่ปุ่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ที่โรงแรมดุสิตธานี มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 650 คน ว่า นักลงทุนถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแท้จริง หวังว่านักลงทุนจะเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ โดยรัฐบาลจะเร่งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางบีโอไอ ทางภาษี เพื่อดูแลนักลงทุนให้มากขึ้น นอกจากนี้ กำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาระยะยาว ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยการทำงาน ผมจะเดินทางไปทำความเข้าใจกับต่างประเทศ โดยในช่วงต้นเดือนก.พ. จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นประเทศที่มีความสำคัญและจะมีโอกาสได้พบกับนักลงทุนญี่ปุ่นด้วย

ส่วนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศนั้นตลอดเวลาที่รัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ 12 วัน ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ในวันที่ 20 ม.ค.นี้จะสรุปเกี่ยวกับกฎหมายงบประมาณเพื่อผ่านงบกว่า 1 แสนล้านบาท มาใช้จ่ายในการดูแลเศรษฐกิจ คาดว่าจะเริ่มเบิกจ่ายงบได้ภายในเดือนเม.ย. ตรงนี้จะช่วยทำให้คนไทยมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ของไทยเติบโตไปได้

ทั้งนี้ หลังจากกระตุ้นกำลังซื้อแล้วมีแผน 2 ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ในการใช้งบประมาณปี53 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตรงนี้จะใช้วิธีการกู้เงินมาเสริม ส่วนในเรื่องเมกะโปรเจ็กต์นั้นแม้รัฐบาลจะไม่ออกมาพูดถึงมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นความสำคัญ โดยรัฐบาลจะยังดูแลโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่อไปทั้งเรื่องรถไฟ น้ำ ระบบขนส่งมวลชน โดยมอบหมายให้ รมว.คลังดูในเรื่องการจัดสรรเงิน อาจจะใช้การกู้เงินมาดูแล ส่วนกระแสข่าวรัฐบาลอาจกู้จากต่างประเทศถึง 1 แสนล้านบาท นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดชัดเจนถึงตัวเลขขนาดนั้น และเข้าใจว่ากระทรวงการคลังคงจะคำนวณตัวเลขอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงถาม-ตอบมีนักลงทุนเสนอให้ลดภาษีโรงเรือน ที่ดิน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งนายกฯ รับปากว่าจะดูแลโครงสร้างภาษี พร้อมรับปากที่จะไม่แก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว แต่อาจมีการทบทวนเท่าที่จำเป็น และในเรื่องค้าปลีกนั้นจะให้ทั้งค้าปลีกต่างชาติและโชห่วยไทยอยู่ร่วมกันได้ ส่วนในเรื่องการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติจาก 30 ปีเป็น 99 ปีนั้น กระทรวงการคลังกำลังดูเรื่องนี้อยู่ ส่วนในเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ยังยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป

นายนานเดอร์ จี. ฟอน เดอ ลูเฮ ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยมีภาพที่ติดลบมามาก นักลงทุนไม่ได้มองเฉพาะสิ่งที่นายกฯ พูดเท่านั้น แต่มองอดีตที่ผ่านมาด้วย ซึ่งรู้สึกพอใจที่นายกฯ ระบุว่าจะไม่แก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว เห็นด้วยกับการเปิดเสรีในธุรกิจภาคบริการให้มากขึ้นกว่านี้ เพราะในอดีตที่ผ่านมา บีโอไอได้ให้สิทธิประโยชน์กับภาคการผลิตมาแล้ว นับจากนี้ก็ควรให้สิทธิกับภาคบริการด้วย

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติมีความหวังและมีแนวคิดที่จะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยอมรับว่าความเชื่อมั่นไม่ใช่ปัจจัยหลักต่อการขยายการลงทุน จะต้องดูเรื่องของเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะฟื้นตัวได้เร็วหรือช้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook