ศูนย์วิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ คาดปีนี้ศก.โต 3.25

ศูนย์วิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ คาดปีนี้ศก.โต 3.25

ศูนย์วิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ คาดปีนี้ศก.โต 3.25
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

28 พ.ค. - นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยดัชนีภาวะการประกอบการของเอสเอ็มอีจาก 18 จังหวัด 1,073ราย ในช่วงครึ่งแรกปี 2555 ว่า ดัชนีรายได้ในไตรมาสที่ 1 และ 2 มีค่าติดลบ โดยติดลบมากขึ้นจาก -11.04 เป็น -24.4 แสดงถึงยอดขายในไตรมาส 2 ต่ำกว่าไตรมาสแรก โดยเป็นผลกระทบตรงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่าเดิม และผู้ประกอบการคาดว่าไตรมาสที่ 3 จะใกล้เคียงกับผลประกอบการไตรมาสที่ 2

ส่วนดัชนีต้นทุนมีค่าเป็นบวกในไตรมาสที่ 1 และ 2 โดยเพิ่มจาก 25.6 เป็น 52.4 ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายน2555 และผู้ประกอบการคาดว่า นโยบายนี้จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นอีก ผลจากรายได้ที่ลดลงและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขี้นส่งผลกระทบทำให้มีการจ้างงานลดลง ในไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ -15.5 และะ -8.9 ตามลำดับและยังส่งผลให้เอสเอ็มอีมีปัญหาสภาพคล่องและภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้จากการที่ดัชนีทั้งสองตัวนี้มีค่าติดลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1-3 แม้ว่า ดัชนีการลงทุนจะมีค่าเป็นบวก แต่การลงทุนส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขนาดเล็กเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์และสถานประกอบการ เมื่อสอบถามถึงทัศนคติเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังเอสเอ็มอี ร้อยละ 28.9 ระบุว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้น ส่วนอีกร้อยละ 39.6 แย่ลง ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 31.5 ระบุว่าไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

ทั้งนี้ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คาดว่า เศรษกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ร้อยละ 3.25 - 3.75 ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังมากที่สุด เอสเอ็มอีร้อยละ 38.1 ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตเช่น ค่าแรง พลังงาน วัตถุดิบ ส่วนร้อยละ 33.6 ความเชื่อมั่นของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 18.3 ระบุว่า ปัญหาการเมือง และอีกร้อยละ 10 ระบุว่า เป็นปัญหาอื่นๆ เช่น ภัยธรรมชาติ อัตราแลกเปลี่ยน - สำนักข่าวไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook