แฉแฟรนไชส์แหกตา-หลอกขายอุปกรณ์

แฉแฟรนไชส์แหกตา-หลอกขายอุปกรณ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า ผลการวิจัยธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยล่าสุด ซึ่งมีบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งสิ้น 505 บริษัท แต่กลับพบว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ที่แท้จริง 479 บริษัท ส่วนอีก 26 แห่ง เป็นเพียงธุรกิจแนะนำอาชีพ โดยเน้นขายอุปกรณ์และฝึกอบรมให้เท่านั้น แต่ไม่ได้ติดตามช่วยเหลือผู้ซื้อแฟรนไชส์แต่อย่างใด จึงถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการลงทุน

ทั้งนี้ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ควรศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ 3 ด้าน ได้แก่ ต้องเป็นธุรกิจที่มีตราสินค้าแข็งแรงเพียงพอ ต้องมีทีมงานที่จะช่วยเหลือให้ประสบความสำเร็จ และต้องมีความเชี่ยวชาญและร้านต้นแบบ ซึ่งในการวิจัยยังพบด้วยว่า แฟรนไชส์ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง จะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป หากต่ำกว่านี้จะส่งผลให้รายได้และกำไรไม่เพียงพอกับเงินที่ลงทุนไป ซึ่งหากเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ในต่างประเทศ จะมีความเชื่อถือจนสามารถกู้เงินจากธนาคารได้

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นมาคล้ายแฟรนไชส์ที่มีคุณภาพ แต่มีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงประชาชน ดังนั้น ผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์จะต้องหาข้อมูลและสอบถามคนที่เคยซื้อแฟรนไชส์ยี่ห้อนั้นมากกว่า 3 ราย หรือจนกว่าจะมั่นใจ โดยปี52 คาดว่าธุรกิจแฟรนไชส์ในไทยจะเติบโตเพียง 10% จากปกติมักจะโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยในปี51 ที่ผ่านมา มีสาขาแฟรนไชส์ทั่วประเทศ 37,575 สาขา คิดเป็นมูลค่ากว่า 84,000 ล้านบาท เป็นสัดส่วนเพียง 6-7% ของระบบค้าปลีกเท่านั้น จึงมีโอกาสเติบโตได้อีก และเชื่อว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัว ธุรกิจแฟรนไชส์ก็จะเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงแนะนำให้เจ้าของแฟรนไชส์ เร่งปรับปรุงคุณภาพและสร้างความแตกต่างรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook