วิชัน ''ไทยพาณิชย์'' ปี2552 ท้าทาย! แต่ไม่วิกฤติ
***ใช้วิกฤติสร้างโอกาสแข็งแกร่ง
ถึงปีนี้จะ ท้าทาย แต่ก็ไม่ถึงขั้น วิกฤติ เป็นความเห็นที่ประธานกรรมการบริหารสะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ ในทางตรงกันข้ามไทยพาณิชย์มองเป็น โอกาส สำหรับธนาคาร คือ 1. โอกาสที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง 2. สร้างธุรกิจด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับรายได้ และ3.สร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินกองทุนแข็งแกร่งจะช่วยให้แบงก์และลูกค้าอยู่รอด
ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของแบงก์สีม่วงปีนี้ ลูกค้าคือหัวใจ ซึ่งทั้ง 2 ผู้บริหารพยายามย้ำอยู่ตลอดเวลาถึงการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว พร้อมกับยืนยันหนักแน่นในสิ่งที่ถูกตั้งคำถามจากลูกค้าอยู่ตลอดเวลา คือ แบงก์ยังปล่อยกู้ และ ไม่ทิ้งลูกค้า (ลูกค้าที่แนวโน้มไปรอด)
เช่นเดียวกับการเดินหน้าสู่การเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจร หรือ ยูนิเวอร์แซลแบงกิ้ง (Universal Banking) ซึ่งจนถึงวันนี้ วิชิต สุรพงษ์ชัย ยืนยันว่าแบงก์ไทยพาณิชย์เดินมาถูกทางแล้ว และพิสูจน์ได้ว่า ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง คือ รูปแบบสถาบันการเงินที่มั่นคงที่สุดและมีความเสี่ยงน้อยกว่ารูปแบบอื่น โดยเฉพาะภายใต้วิกฤติการเงินโลกที่ถดถอย ที่ เขา ทำนายไว้ว่าจะอยู่ไปอีก 2 ปีหรือ 3 ปี
พร้อมกับประกาศทำทุกด้าน ทั้งธุรกิจรายย่อย รายใหญ่ เอสเอ็มอี ซิเคียวริตี ประกันภัย หลักทรัพย์ เช่าซื้อ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ซึ่ง ณ วันนี้ ไทยพาณิชย์มีครบทุกบริการแล้ว แต่ยังต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างความพอใจ และเป็น ธนาคารที่ทุกคนเลือก
****คาถาธุรกิจ ''ปรับตัวเร็ว''
ขณะที่ไกด์ไลน์ยุทธศาสตร์หลัก 6 ด้านของแบงก์ไทยพาณิชย์ ปี 2552 (รายละเอียดจากข้อมูลประกอบ) สะท้อนว่าแบงก์พร้อม ตั้งรับ ในปีนี้ แตกต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนซึ่งแบงก์ไทยพาณิชย์ รุกตลาดรุนแรง
เห็นได้จากมุมมองคาดการณ์ด้านตัวเลขโดย กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรณิกา ชลิตอาภรณ์ ที่เชื่อว่าจีดีพีปี 2552 จะโน้มไปในทางใกล้ 0-1% หรืออย่างเก่ง 2% ภาพรวมสินเชื่อโดยรวมจะอยู่ที่ 4-5% และเงินฝากขยายตัว 2-3% โดยเฉพาะหลักคิดในปีนี้ที่ กรรณิกา บอกในการทำธุรกิจก็คือ ต้องปรับตัวเร็ว ดังนั้นแผนธุรกิจของแบงก์ไทยพาณิชย์ในปีนี้ จึงอาจมีการทบทวนในทุกไตรมาส
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ประธานกรรมการบริหาร เล่าว่าจะเพิ่มจำนวนสาขาของแบงก์ให้ครบ 1,000 สาขาในปี 2552 แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว แต่แบงก์ยังพร้อมที่จะลงทุนเปิดสาขาเพิ่ม รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการขายอื่นๆ เช่น เอทีเอ็ม ขายตรง (Direct Sale) และคอลล์เซ็นเตอร์ ยังชี้ได้ว่า ไทยพาณิชย์ ต้องรักษาตำแหน่ง ผู้นำ ในธุรกิจให้บริการรายย่อย หรือรีเทลแบงกิ้งไว้หลังจากที่ 1-2 ปีที่ผ่านมา การนำการตลาดของ กรรณิกา มาใช้ควบคู่กับการทำธุรกิจแบงก์พาณิชย์ ทำให้ ร่มม่วง และ แบงก์สีม่วง สร้างให้ลูกค้าจดจำและนึกถึง ไทยพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี
****ห่วงหนี้เสียกินเงินกองทุน
ขณะที่ในปีนี้ประธานกรรมการบริหาร ประกาศทำทั้งธุรกิจรายย่อย รายใหญ่ เอสเอ็มอี ซิเคียวริตี ประกันภัย หลักทรัพย์ เช่าซื้อ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ซึ่ง ณ วันนี้ ประกาศได้ว่ามีครบทุกบริการ และยังต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างความพอใจ และเป็น ธนาคารที่ทุกคนเลือก
นอกจากนี้ สิ่งที่ทั้ง วิชิต และ กรรณิกา เป็นห่วงไม่แตกต่างจากความเห็นของนายแบงก์อื่นๆที่เคยให้ความเห็นไว้ก่อนนี้ คือ ปี 2552 เป็นปีที่จะเห็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องระวังหนี้เสียกินเงินกองทุน ขณะที่แนวโน้มหนี้เสียมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนขึ้นอยู่กับแต่ละแบงก์ว่าจะสามารถควบคุมหนี้ไม่ให้เพิ่มขึ้นได้เพียงใด โดยเฉพาะลูกหนี้เอสเอ็มอีที่แบงก์ต้องติดตามใกล้ชิดมากขึ้นเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อเอ็นพีแอลของไทยพาณิชย์ในขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณ 20% ก็ตาม
เราห่วงเอ็นพีแอลมาก ซึ่งปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากที่จะแสดงว่าเราจะเป็นคู่ค้ากับลูกค้าในระยะยาว ไม่ใช่เวลาเขาดีแล้วไปเจ๊าะแจ๊ะ แต่เวลาไม่ดีก็ปล่อยทิ้ง อันนี้ไม่ใช่แบงก์ไทยพาณิชย์
หลังจากไทยพาณิชย์เปิดเกม รุก อย่างรุนแรงต่อเนื่อง 2 ปีที่แล้ว แต่ในปีนี้ต้องหันหัวกลับเป็น ตั้งรับ ด้วย 6 ยุทธศาสตร์หลัก ระวังปล่อยกู้ ดูคุณภาพสินเชื่อ จุนเจือลูกค้า คุมค่าใช้จ่าย สร้างรายได้เพิ่ม และเติมความสามารถพนักงาน ซึ่งทั้ง 2 ผู้บริหารระดับสูงมั่นใจว่าทั้งแบงก์และลูกค้าจะฝ่าวิกฤติ ปีแห่งความท้าทายนี้ไปได้
6 ยุทธศาสตร์หลัก ปี 2552
- ดูแลและให้ความช่วยเหลือลูกค้า เช่น ภาคท่องเที่ยว และกลุ่มโรงแรม โดยส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้น
-รอบคอบระมัดระวังในการทำธุรกิจ ยังขยายการปล่อยกู้ธุรกิจทุกด้าน เน้นบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)
-ควบคุมคุณภาพสินเชื่อ เป็นปีที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ไม่ทิ้งลูกค้า เพื่อฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน
-สร้างรากฐานรายได้ค่าธรรมเนียมต่อเนื่อง โดยพยายามเพิ่มธุรกิจเพื่อที่ให้มีค่าธรรมเนียมเข้ามามากขึ้น เช่น ปล่อยธุรกิจด้านคอร์ปอเรต วางแผนเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมจาก 30% เป็น 40% ในระยะยาว
-ควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ลดคนแต่จะพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
-สร้างความสามารถของพนักงานและระบบงาน เพิ่มงบประมาณในการฝึกอบรมพนักงาน