คุยกับ “แบงค์ ปรีติ” ในวันที่ “หยุดร็อค” กับ “เลิกฟูมฟาย” และพบสิ่งสวยงามเมื่อเป็นตัวเอง | Sanook Music

คุยกับ “แบงค์ ปรีติ” ในวันที่ “หยุดร็อค” กับ “เลิกฟูมฟาย” และพบสิ่งสวยงามเมื่อเป็นตัวเอง

คุยกับ “แบงค์ ปรีติ” ในวันที่ “หยุดร็อค” กับ “เลิกฟูมฟาย” และพบสิ่งสวยงามเมื่อเป็นตัวเอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นอีกหนึ่งการคัมแบ็กที่หลายคนจับตา สำหรับการกลับมาของ แบงค์-ปรีติ บารมีอนันต์ กับเพลง “ฟื้นได้ด้วยใจเธอ” ที่ฉีกจากเพลงร็อคที่หลายๆ คนคุ้นเคยของแบงค์ และเพลงนี้ก็มากับหนังสั้น เพียงความทรงจำ (Last light in Kumamoto) ที่ลงทุนถ่ายที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น

แต่กว่าจะกลับมาครั้งนี้ แบงค์ ก็เจอความท้าทาย ทั้งการที่เขียนเพลงไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนทำให้กล้าเปิดในด้านที่ไม่เคยเปิด ทำให้เราอยากเจาะลึกสิ่งที่เขาเผชิญ และการเปลี่ยนแปลงในจิตใจไปจนถึงรสนิยมการฟังเพลง รวมถึงการค้นพบว่าการเป็นแบงค์ ปรีติ คิอเส้นทางหลังจากนี้ พร้อมให้ทำ Sanook Resume ด้วย 

แบงค์ ปรีติแบงค์ ปรีติ

เพลง “ฟื้นได้ด้วยใจเธอ” มีที่มาอย่างไร เพราะได้ยินว่าเป็นเพลงของ ETC. มาก่อน 

แบงค์ ปรีติ : เริ่มจากการคิดไม่ออก มันมีช่วงที่ช่วงที่เขียนไม่ออก แม้ในหนังจะเป็นเรื่องมาจากตัวเรา เราจำความฟูมฟายได้ แต่เราไม่ได้ฟูมฟายเท่าวันนั้น เขียนมามันจะไม่เจอประโยคดีๆ แบบตอนนั้น เพราะผมเขียน 10 เพลงแต่ยังไม่โดนสักที มันอาจจะโดนผู้ฟัง แต่มันยังไม่โดนเราสักที ก็ให้โปรดิวเซอร์ พี่ แม็ค-ศรัณย์ วงศ์น้อย เลยไปหาเพลงที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้ ก็มีพี่ โซ่ ETC. (แมนลักษณ์ ทุมกานนท์) ก็บอกว่ามีเพลงหนึ่งยังไม่ได้ใช้สักที ก็ไปดู ประโยคแรกคือใช่เลย เมโลดี้คำร้องมันขึ้นว่า แค่สบสายตา สะเทือนหัวใจ แค่อยู่ ใกล้กัน ใจพลันอ่อนไหว ปกติผมเขียนอะไรเป็นอุปมา อุปมัยแบบนี้อยู่แล้ว แบบ “เพลงผีเสื้อ”, “ละครรักแท้”, “หนาว” และ “กอด” แต่ว่าเมื่อเราไม่อิน เราดึงความรู้สึกวันนั้นไม่ได้ แต่เพลงนี้เราคิดว่าถ้าเราเขียน เราเขียนแบบนั้น แต่คือเราเขียนอะไรที่เพ้อแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะวันนี้มันไม่เพ้อแล้ว มันเลยรู้สึกว่าเพลงนี้ใช่ มันเป็นสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร เราไม่รู้ว่าจะสำเร็จในแง่ไหน แต่อยากให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เราตั้งใจสื่อสารให้คนฟัง ตอนนั้นเรารู้รู้สึกแบบนี้ครับ 

ก่อนหน้านี้โซโล่โปรเจกต์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ของแบงค์ การทำงานรอบนี้มีความท้าทายอย่างไร

แบงค์ ปรีติ : จริงๆ มันต่างตรงที่ว่า คือทุกคนที่เป็นแฟนคลับรู้ว่าผมเป็นคนไม่ได้ฟังเพลงร็อคมานานมาก ตั้งแต่อยู่วงยุค Clash อัลบั้ม 3 ก็ไม่ได้ฟังเพลงร็อคแล้ว แกนหลักผมเป็นอาร์แอนด์บี ฮิปฮอปบ้าง และก็โซล วันนี้เราลดความรุนแรงลง และเอาการร้องเพลงประสบการณ์มาอธิบายตัวเราและผลงานมากขึ้น  

แบงค์ ปรีติแบงค์ ปรีติ

ทำไมถึงกับภาพยนตร์ เพียงความทรงจำ พร้อมกับผลงานใหม่ 

แบงค์ ปรีติ : ผมเป็นโปรดิวเซอร์จะรู้ว่าเพลงดังต้องทำอย่างไร มันรู้ว่าทำอย่างนี้จะดัง แต่ในฐานะโปรดิวเซอร์การทำงานให้ตรงโจทย์มันคือความสำเร็จ แต่ถ้าเพลงไปได้ ก็โอเค ก็เชิญไป แต่ถ้าเพลงไม่ถึงร้อยล้าน ก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายอยู่แล้วครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมคือการให้เพลงช้าสำเร็จทุกทาง ก็มีคอนเทนต์ที่นั่งรถนั่งอะไรจะจดเก็บไว้ ชื่อเพลงเต็มเลย แต่ที่เขียนมาทั้งหมด มันประดิษฐ์ขึ้น ไม่ได้มาจากตัวเรา งั้นเอาตัวตนที่ไม่เคยเล่า เพราะบางตัวตนไม่เหมาะสมที่เอามาเล่า ก็มาพูดคุยกัน จนบอกความลับ บอกเรื่องที่ไม่เคยบอกใคร คือเราทำหนังสั้นประกอบเพลงมาแล้ว แล้วมันไม่พอ ก็ทำหนังเต็มไปเลย คือเราฟุ้งมาก แต่หาเงินมาทำหนังไม่ได้ เพราะมันก็เป็นล้าน แต่สุดท้ายก็ทำหนังแล้วกัน เพราะมีผู้สนับสนุนจากญี่ปุ่น เมืองคุมาโมโตะ ก็ช่วยค่าใช้จ่ายเยอะมาก เช่าสถานที่ เพราะไปโปรโมตเมืองเขา แต่เมื่อทำหนังก็มี 3 ซิงเกิล ก็มีเพลง  “ฟื้นได้ด้วยใจเธอ”, “ฉันจะอยู่เป็นคนของเธอ” ของพี่ โบ สุนิตา และเพลง “ฉันลาเธอไป” 

การถ่ายเอ็มวีต่างประเทศ มีความท้าทาย และที่ผ่านมาหลายงานของแบงค์ หรือมีข้อควรระวังอะไรที่แฟนๆ อาจไม่เคยรู้ 

แบงค์ ปรีติ : หลายคนจะดีจังไปต่างประเทศ ได้ไปรอบโลก ทัวร์ต่างประเทศเต็มไปหมด แต่ไม่สนุกหรอกครับ บางคนไปเที่ยวแบบตื่นกี่โมงก็ได้ แต่ไปทำงานไม่มีเรื่องเที่ยวเลย ต่อให้เราไปอยู่จุดที่สวยที่สุด เราไม่สนุกเพราะเราโฟกัสการทำผลงานเพราะเวลาเราน้อย นอนตี 2 ตี 5 ตื่นแล้ว เพราะหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคน 2 คน ไม่มีคู่เด็ก คู่ผู้ใหญ่ ฉะนั้นต้องเจอทั้งวัน ไม่ใช่วันนี้ถ่ายคนนี้ก่อนครับ   

แบงค์ ปรีติแบงค์ ปรีติ

ทุกครั้งที่ศิลปินทดลองอะไรใหม่ๆ แฟนๆ มักจะมีข้อคิดเห็นต่างกัน แบงค์รับมืออย่างไร 

แบงค์ ปรีติ : ไม่รับเลย (หัวเราะ) เพราะนักดนตรีส่วนใหญ่ที่อยากทำอาชีพนี้ต่อไปก็จะหนีตัวเอง อย่าง LINKIN PARK อัลบั้มที่เป็นป็อปก็โดนด่ากระจาย แต่ก็ฮิตถล่มทลายเหมือนกัน บางเพลงดูไม่ใช่ แต่มันอาจเป็นเพลงในใจเรา การย่ำอยู่ที่เดิมมันอาจจะดีในมุมคนที่ฟังเหมือนเดิม อย่างคนที่กินกระเพราทุกวัน ก็อยากให้เราร้องแบบเดิม แต่เราผู้สร้างก็อยากทำสิ่งใหม่ๆ หรือใกล้สิ่งเดิมแต่บิดซ้าย บิดขวา หน่อยๆ เป็นเรื่องปกติของศิลปิน และโปรดิวเซอร์ มันไม่มีศิลปินคนไหนที่เหมือนกันทุกอัลบั้มครับ 

แต่ในอดีตแบงค์จะมีความสำเร็จเพลงฮิต และงาน Soundshake ที่เป็นอัลบั้มศิลปินกลุ่มล้านก๊อปปี้วงสุดท้ายของ GMM Grammy เราวางความกดดันอย่างไร  

แบงค์ ปรีติ : มันอยู่ที่เวลาด้วย อย่าง Soundshake ออกวันนี้ไม่ดังนะครับ เพลงอย่างวันนั้นก็ไม่น่าจะดังในวันนี้ สิ่งที่จะดังในวันนี้คือการทำเพลงตีหัวเข้าบ้าน นั่นคือความดังในวันนี้ คือศิลปินที่ทำเพลงวันนี้ไม่มีเพลงหน้า B มีแต่หน้า A ทั้งหมด เรารู้ว่าเพลงนี้ฮิตแน่ๆ แต่เพลงหน้า B คือเพลงโชว์ของและจินตนาการ นักดนตรีไม่มีเพลงหน้า B ให้ทำ เพราะบางคนไม่ได้ออกอัลบั้ม บางคนออกแต่ไม่ได้ทำเพลงหน้า B ชัดขนาดนั้น แต่แบบเพลงนี้ดังแน่ เพลงนี้น่าจะฟลุ๊คดังแน่ คือสำหรับผมเพลงที่ปล่อย 3 เพลงเป็นการรีแบรนดิ้งมากกครับ ให้เห็นแบงค์ ปรีติในมุมที่คนไม่เคยเห็น แนวเพลงไม่คุ้น แต่ฟังเพลงจะชอบครับ จริงๆ เพลงอาร์แอนด์บีเยอะมากที่อยากทำ เพลงฮิปฮอปก็เยอะ โซลที่อยากร้องแต่ไม่ได้ร้องครับ 

แบงค์ ปรีติแบงค์ ปรีติ

แล้วงานแสดง กับงานละครเวทีมีอยากทำบ้างไหม มันช่วยการทำงานของแบงค์ในมุมไหนบ้าง

แบงค์ ปรีติ : การทำละครเวทีมันไม่ช่วยเรื่องการทำเพลง แต่ช่วงในการโชว์ ในละครเวทีตัวละครต้องตายทุกวัน บางทีรอบเช้ารอบเย็น ก็เกิดใหม่ ผมเข้าเรื่องนี้จากละครเวที แบบเคยไม่เข้าใจว่าทำไมร้องเพลง “ขอเช็ดน้ำตา” เป็นพันครั้ง คนถามว่าเบื่อไหม ผมก็แบบ “เบื่อ-ิหาย” แต่พอเล่นละครเวทีคือเรารู้ว่าเราไม่เคารพเพลงตัวเอง อย่างเราเคารพตัวละครเราก็จะเกิดใหม่ เรามีประสบการณ์ละครเวทีที่เราตายและเกิด On และ Off ได้ มันมีความสุขเหมือนเราได้ร้องเพลงนี้ครั้งแรกทุกครั้ง และได้ยินทุกครั้งว่าเนื้อชัดขึ้น คือผมไม่เบื่อแล้ว แต่เจอสิ่งใหม่ทุกครั้ง อย่างสมัยก่อนขึ้นคอนเสิร์ต 200 โชว์ ก็มีเบื่อ แต่เดี๋ยวนี้พอขึ้นเวทีปั๊บ แม้ง่วงก็ดีดขึ้นทันทีครับ และช่วยในการทัวร์มากขึ้น เพราะบางทีออกเสียงไม่ถูก จนบางทีทัวร์ 3 วันเสียงก็แหบแล้ว แต่วันนี้ทัวร์ 1 อาทิตย์ ก็เหมือนเดิม โปรเจกต์เสียงดีกว่าเดิม หลายคนอาจงงว่าทำไมผมร้องเพลงไม่บีบเสียงแล้ว มันจะมีโทนโปร่งขึ้น เพราะจะมาจากการโปรเจกต์เสียงครับ  

การกลับมาทัวร์และเจอชาวดิโอเชี่ยน (แฟนด้อม) เป็นอย่างไร 

แบงค์ ปรีติ : คือพอมาออกเดี่ยว ตั้งแต่ Clash รวมตัวและมีอัลบั้มเดี่ยว ก็มีคนถามว่าไม่ตั้งชื่อด้อมเหรอ แต่หลังรู้สึกว่าการที่วงพักไม่พัก มันไม่สำคัญเพราะทุกคนมีทัศนคติและกิจกรรมต่างกัน มันเป็นเรื่องปกติ ก็จะเหลือคนที่เข้าใจเรา ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรและไม่ว่าอะไรเราด้วย เลยเรียกว่าดิโอเชี่ยน เพราะเขาใจกว้างเหมือนมหาสมุทร ผมตั้งคำนี้เพราะเขายิ่งใหญ่มาก มีทั้งประเทศ อย่างรอยสักพระอาทิตย์ที่เขาล้อว่าเป็นยากันยุงก็มีทุกจังหวัด และเขามาดูคอนเสิร์ตจะถกให้ดูว่าเขามี แต่หลังๆ มานี่จะเริ่มเห็นหน้าผมบนไหล่ ตรงเอว มันเป็นยุคใหม่ มันน่ารักไปหมดครับ 

แบงค์ ปรีติแบงค์ ปรีติ

อยากให้แบงค์ ปรีติ ถูกจดจำในรูปแบบไหน 

แบงค์ ปรีติ : แบงค์ ปรีติ คือแบงค์ ปรีติครับ ที่ผ่านมาเป็นแบงค์ Clash ก็โดนล้อเป็นแคลชวงแบงค์บ้างก็ว่ากันไป ก็เป็น BANKK CASH ที่เราบอกทุกคนว่าเราเสพอะไร เราเสพอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป บิลบอร์ดชาร์ต เราเสพสิ่งเหล่านั้น พอเป็น Clash ก็อบอุ่น บัตรขายหมดตลอด แต่พอมาเป็นแบงค์ ปรีติ ผมดีใจที่ใช้ชื่อนี้เพราะผมหนีตัวจริงไม่ออก ต่อจะให้ใส่หัวโขนบนละครเวที ใส่นั่นนี้ เป็นมือปืน สุดท้ายกลับบ้านเป็นแบงค์ปรีติ ผมก็วางหัวโขนไว้เหมือนเดิม พอเป็นแบงค์ ปรีติ วันนี้บัตรก็ยังหมดทุกโชว์ ก็ขอบคุณที่ทุกคนที่เขามีความสุขที่เป็นแบงค์ ปรีติ นายปรีติ บารมีอนันต์ นี่คือสิ่งที่คุณจะเห็นในสิ่งที่คาดถึง และคาดไม่ถึงในอนาคต

Photo : Noppachai C.

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ คุยกับ “แบงค์ ปรีติ” ในวันที่ “หยุดร็อค” กับ “เลิกฟูมฟาย” และพบสิ่งสวยงามเมื่อเป็นตัวเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook