Death Metal Part. 2 โดย อริญชย์ Dose | Sanook Music

Death Metal Part. 2 โดย อริญชย์ Dose

Death Metal Part. 2 โดย อริญชย์ Dose
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Death Metal ในยุคหลังปี 2000 

ดนตรีทุกสายพันธุ์ย่อมมีการพัฒนาหลังยุค 2000 ฝั่งเพลง Rock ด้วยการมาถึงของดนตรี Nu Metal ที่กำลังผงาดและเข้ามาช่วงชิงตลาดพร้อมกับการกำลังก่อกำเนิดของดนตรีสายพันธุ์ผสมอย่าง Punk Emo Screamo ที่มาในช่วงกลางยุค 2000 ในเวลานั้นดนตรี Death Metal ไม่ได้หายไม่ได้ตายไม่ได้ไปไหนความตายทางดนตรีแค่อ่อนกำลังลงไป หลายๆ วงยังยืนหยัดเล่นดนตรีในแนวทางของตัวเองต่อไปแต่หลายวงเลือกทางลูกผสม 

วงดนตรีแนว Death Metal ที่เกิดใหม่ในยุคได้รับเอาวิธีคิด Sound และการเรียบเรียง วัฒนธรรม จากแนวดนตรีหนักกะโหลกหลายๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกมาผสมจึงทำให้เกิดคำว่า Slamming (ขอเรียกสั้นๆ ว่า Slam) ที่พัฒนามาจากวงดนตรีแนว Brutal Death Metal อย่าง Cannibal Corpse และ Suffocation จึงมีการบัญญัติคำหนึ่งคำขึ้นมาที่เรียกว่า Slam ที่ต้องเขียนแยกออกมาอีกตอนเพราะ Slam นี่เองจะเป็นอิทธิพลทางดนตรีที่เป็นจุดตัดเปลี่ยนระหว่าง Death Metal แบบ Old School กับดนตรี Death สมัยใหม่อย่าง Deathcore


Slamming Brutal Death Metal

ถ้าย้อนกลับไปไกลที่เท่าสุดที่จะหาข้อมูลได้ Suicidal Tendencies เป็นวงที่นำ Metal, Rap, Hardcore มาผสมกันแต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับไรกับดนตรี Death แต่ทำไมถึงต้องกล่าวถึงพวกเขาเพราะจริงๆ แล้วคำว่า Slam ที่ใช้ในวงการดนตรี Death Metal มีรากศัพท์มาจากคำว่า Moshing คืออาการ Aggressive Dance ที่เกิดขึ้นใน Moshpit ของคอนเสิร์ต Metal เรียกง่ายเป็นภาษาไทยว่ามันคือการเต้นแบบรุนแรงก้าวร้าวที่เป็นวัฒนธรรมมาจากดนตรี  Hardcore Punk ในยุค ‘80s ซึ่งในระหว่างโชว์ของวง Hardcore จะมีท่อน Breakdowns ให้เหล่า Dance Warrior เข้าไปวาดลวดลาย Mosh กันใน Moshpit แล้วมันมาข้องแวะกับดนตรี Brutal Death Metal ได้อย่างไร วงแรกๆ ที่เป็นวง Speed Thrash แต่มีส่วนผสมของดนตรี Hardcore อย่าง Slayer หรือ Evildead แต่กลับเป็นวงอย่าง Suffocation ต่างที่มีท่อนที่เรียกว่า Slam ชัดเจน 

ลองฟังช่วง 2.52 ที่ดนตรีอันมาอย่างรวดเร็วมี Solo ดุจสายฟ้าแล้วมาเป็นท่อนแบบเพลง Hardcore เอาดื้อๆ ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีใครกำหนดคำว่า Slam แบบจริงจังและชัดเจนแต่นั่นคือสิ่งที่ Suffocation รับเอามาซึ่งถ้าวัดกันด้วยวิธีเล่นและทฤษฎีแล้วการเล่นแบบนี้คือการเล่นแบบ NY Hardcore

คำว่า Slam ถูกทำให้ชัดเจนขึ้นโดย Internal Bleeding วงในยุค ‘90s อัลบั้ม Voracious Contempt แม้มีส่วนผสมของเสียงร้องแบบ Frank Mullen แห่ง Suffocation และดนตรีช้าเนิบหนักดิบแบบ Obitury อยู่เป็นส่วนมากแต่โดยรวมก็ยังถือเป็นต้นแบบของ Slam หรือเรียกได้ว่า Proto Slam นอกจาก Internal Bleeding ก็จะมี Pyrexia, Skinless, Dying Fytus, Disgorge, Dehumanized แต่เมื่อเข้ายุค 2000 พร้อมกับการมาถึงของวงอย่าง Repudilation และ Deriding ความเป็น Slam เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้นแต่วงที่สร้างพิมพ์เขียวจริงๆ ให้กับวงการ Slam นั่นคือ Devourment วงจาก Dallas, Texas ที่มีเชื้อสาย Maxican ในอัลบั้ม 1.3.8 พวกมันมาพร้อมกับด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวและความสดใหม่ของไอเดียทำให้คำว่า Slamming เริ่มติดปากในหมู่แฟนเพลง Brutal Death Metal ทั้งแฟนพันธุ์แท้และนักฟังรุ่นใหม่ 

Internal Bleeding, Pyrexia, Skinless และ DehumanizedInternal Bleeding, Pyrexia, Skinless และ Dehumanized

นอกจากจะมีสำเนียงแบบ Internal Bleeding แต่ Devourment พัฒนาต่อและบัญญัติสิ่งต้องทำในดนตรีของคุณถ้าคุณอยากถูกเรียกว่า Slam ก็มีท่อน Brakedown และยัง Riff Guitar ในแบบที่มุ่งเน้นไปที่ท่อน Mosh แบบดนตรี Hardcore ไม่ซับซ้อนตรงไปตรงมาไม่มี Solo ไม่มี Tremolo ไม่มี Sweep Picking ไม่มี Skank Beat แบบดนตรี Thrash Metal เสียง Sound ของ Snare ต้องแหลมๆ เหวี่ยงๆ Death Metal ที่คนไทยชอบเรียกว่าท่อนสับหมูด้านเสียงร้องมีการใช้เสียงแบบ Cricket Gutturals หรือภาษาไทยก็จะอารมณ์ประมาณเสียงหมูโดนเชือด อู๊ดๆๆ ราวกับเสียงคนอ้วก

โดยทั้งอาศัยพื้นฐานการ Half-Time แบบดนตรี Hardcore ส่วนเนื้อเพลงที่สื่อออกไปก็จะเน้นไปทางด้านเซ็กส์  กามวิตถาร การทรมาน ความตาย ความรุนแรงทางเพศ ความลามกอนาจาร การทำลายล้างทำสงคราม และนี่คือนิยามของคำว่า Slamming แบบง่ายๆ 

และทั้งหมดมาพร้อม Production แบบดิบๆตั้งแต่การบันทึกเสียงยัน Artwork ภาพปกที่ชวนสะอิดสะเอียนแต่ยังวนเวียนกับความตายทั้งภาพวาดและภาพถ่ายจริงๆบางวงปกก็จะออกแนว Grindcore อยู่แล้วเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเพลงที่วงนั้นๆ จะสื่อออกมา หลังจากนั้นก็ถึงยุคทองของ Death Metal แบบ Slamming มีวงดนตรีที่เล่น Style นี้ออกมามากมายไม่ว่าจะใน รัสเซีย ญี่ปุ่น อินโด สแกนดิเนเวีย ก็มีวงที่เล่นดีมากมายเช่น Repudilation, Torturement Acranius, Haemophagia, Extermination Dismemberment, Vomitous, Human Rejection, Begging for Incest, Abominable Putridity, Epicardiectomy, Vulvodynia, Vomit Remnants, Disfigured, Gorevent, Vulvectomy และ Soils of Fate ในเมืองไทยก็มีวงที่เล่นติด Slam อย่าง Pathological Sadism 

ดนตรี Slam ที่ดีต้องมีจังหวะที่ไม่ไวมากยืนหยัดด้วย Groove แบบ Slamming และ Riff Guitar ที่ใช้คู่ 5 พาวเวอร์คอร์ด วนซ้ำสลับ ไปๆ มาๆ ต้องเลี้ยงแฟนเพลงโยกตามไปได้เรื่อยๆ

ในยุคที่วงดนตรีเหล่านี้โลดแล่นโลกได้โอบรับคำว่า Internet เข้ามาไว้ในทุกครัวเรือนที่พอจะหาซื้อคอมพิวเตอร์มาติดบ้านได้เมื่อเทคโนโลยีของการทำเพลงแบบ Home Studio ง่ายมากขึ้นพร้อมกับการมาถึงของ Myspace เลยทำให้เราเห็นถึงวงดนตรีหลากหลายวงและวงสไตล์ 1 Man Band ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพวกวงเหล่านี้จะมี Sound แบบ Noisecore ใช้กลองโปรแกรม หรือวงดนตรีแบบครบชิ้นอย่างวง Artery Eruption และ Grymer เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมหลายคนเริ่มต้นงานแบบประหยัดที่อัดจริงแค่เสียงร้องกับ Guitar เท่านั้นในยุค MySpace เราจะพบวง Slamming งบน้อยมากมายเต็ม Myspace เรียกได้ว่าแทบจะเกิดขึ้นทุกอาทิตย์ทั่วโลกถ้าคุณนั่ง Search มันทุกวัน วงแนวนี้พวกเขาจะนำเสนอองค์ประกอบทางดนตรีที่มีอยู่ทั่วไป แต่วงเล่นสดในรูปแบบเดิมไม่เคยนำมาใช้บางอย่างเช่น Drum Machine เบสดร็อปจาก TR-808 เสียงก้าวร้าวรุนแรงดุจระเบิดแรงโน้มถ่วงผสมกับเสียงร้อง Cricket Gutturals ซึ่งนักฟังเพลง Metal บางส่วนจะไม่ค่อยยอมรับวงเหล่านี้เพราะเสียงมันฟังดูกระป๋องไม่ดิบหยาบสะใจเท่าวงสดๆ

แล้วอะไรที่ทำให้ Slam ขึ้นมาเจ๋งและโดดเด่นได้ขนาดนี้อย่างแรกดนตรี Metal ส่วนใหญ่จะมีทั้งคนที่ผ่านเข้ามาฟังในช่วงวัยรุ่นแล้วก็ออกไปน้อยคนที่จะหยัดยืนเป็น Metalhead เพราะงั้นไม่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่กระแส Thrash Metal ผันมาเป็น Death Metal ผู้คนถวิลหาอะไรที่แรงกว่า ดิบกว่า สะใจกว่าแต่ในเวลานั้น Death Metal ตอบสนองผู้ฟังไม่ได้เท่า Black Metal ที่มีเรื่องราวให้ได้ติดตามทั้งเรื่องของตัวเพลงและความอื้อฉาวของศิลปินแต่สุดท้าย Black Metal เองก็แผ่วลง เราก็จะเห็นว่ายุคนั้นมีวงแนว Melodic Death ชั้นดีออกมามากมายเพราะคนส่วนใหญ่เริ่มอิ่มตัวกับความหนักหน่วง หลายๆ วงที่เล่นมานานอย่าง In Flames, Dark Tranquility, At The Gates, Sentenced และ Children Of Bodom ก็ยิ่งมีชื่อเสียงบางวงผันตัวปรับตามกระแสดนตรี ซึ่งแน่นอนเมื่อฟังอะไรเบาๆ มากบ่อยๆ เราก็จะกลับมาหาอะไรหนักๆ ตามกระแสธารของชีวิตมนุษย์ 

In FlamesIn Flames

นอกจากองค์ประกอบทางดนตรีและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันที่ถูกขัดเกลามานาน หลายปีสิ่งที่ทำให้ Slam โผล่ผงาดขึ้นมากระแสในวงการ Metal ตอนนั้นได้ นอกจากองค์ประกอบทางดนตรีและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันที่ถูกขัดเกลามานานหลายปี สิ่งที่ทำให้มันขึ้นมาได้คือความ Hipster หรือสมัยนี้อาจจะใช้คำว่า Hype อธิบายง่ายๆ ในเวลานั้นถ้ามีคนถามว่าคุณฟังดนตรีแนว Death Metal ไหม ฟังวงอะไร แล้วคุณตอบว่าฟังวง In Flames แน่นอนในความเป็น Metalhead ตัวจริงมันไม่มีทางที่จะดู เท่ ลึก เจ๋ง Cool เท่ากับฟัง Abominable Putridity หรือ Devourment หรอก เพราะมันมีความเป็น Death ความ Brutal ใน In Flames มันน้อยกว่ามากๆ

ร่วงหล่น

เมื่อตลาดมีอะไรที่คนต้องการมากเกินไปอุปสงค์กับอุปทานมันไม่เหมาะสมกัน มีวง Slam ออกมามากมายแต่หาวงที่แตกต่างจาก Devourment โดยสิ้นเชิงไม่มี วงที่ออกมาก็หาอะไรใหม่ๆแทบไม่ได้หลายๆ วงดนตรีที่เล่นติด Slam ในเวลานั้นเป็นเพียงการปรับแต่งสูตรและเดินตามรอยของวงที่เคยทำมาแล้วเมื่อเราได้ฟังวงเหมือน Devourment หรือ Dying Fetus ซ้ำๆ และแยกไม่ออกหาเอกลักษณ์ไม่เจอไม่ต่างจากยุค Nu Metal ที่เล่น Guitar เสียงต่ำ 7 สาย แล้ว Rap ทับดนตรีแล้วออกมาเหมือนๆกันหมดเป็นสาเหตุที่ทำให้ดนตรีมันน่าเบื่อและกำลังจะหายไป แต่ในตอนนั้นมีเด็กใหม่หลายๆกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคหลังแต่รับอิทธิพลของ Slam และนำมาเล่นในแบบของตัวเองเท่าที่เล่นได้ เพิ่มความตลกโปกฮาและแฟชั่นตามสมัยเข้าไป ซึ่งตามรูปแบบดนตรีแนวนี้กำลังจะเปลี่ยนแนวเพลงจาก Death Metal แบบ Old School ไปสู่แนวดนตรีขวัญใจชาว Death Metal รุ่นใหม่ที่พวกเขาเรียกว่า Deathcore 

Deathcore คืออะไร 

คำศัพท์ที่แยกแนว Sub-Gerne Metal คำนี้ไม่ได้ถูกยอมรับมาตั้งแต่แรกแต่พอการมาถึงของยุค Internet คำเหล่านี้ก็เริ่มถูกยอมรับและใช้เป็น Hashtag มากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลกทั้งใน Website ใน Blog ต่างๆ หลายๆคนคงสับสนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง SLAM METAL และ DEATHCORE แม้ว่าพวกเขาอาจดูเหมือนกันคล้ายๆ แต่ให้มองง่ายๆ ว่ามันเหมือนกับศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ที่มีรากเหง้าร่วมกัน แต่ในตอนสุดท้ายพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย 

ความเกี่ยวข้อง

สิ่งเริ่มที่เหมือนกันมีแค่ Deathcore รับเอาดนตรีที่หนักแบบ Metal การร้องต่ำ บวกกับสิ่งที่ได้รับจากดนตรี Hardcore มาผสมกับความร็อคสตาร์ รอยสัก แฟชั่น ในยุคนั้นในทางกลับกัน Slamming Brutal คือความโหดเหี้ยมอย่างแท้จริงเป็นการสื่อสารทางศิลปะที่หยาบกร้านแบบแท้จริงบดขยี้ทุกคนที่เข้ามาใกล้แม้แต่แฟนเพลงที่คลั่งไคล้เมทัล คุณแทบจะไม่ได้เงินหรือมีชื่อเสียงจากการทำวง Slam Brutal หรือขายของในวงได้เทียบเท่ากับวง Deathcore ที่ขายในบูธของ Warped Tour ได้หรอก ลองดูได้จากตามงานดนตรีต่างๆ สาวน่าจะใส่เสื้อวงอย่าง Carnifex มากกว่าใส่กางเกง Camo และเสื้อ Devourment ไซส์ XXL 

ทางดนตรี

แม้ว่าบางคนจะพยายามแบ่งแยกท่อน Breakdowns ออกจาก Slam แต่ถ้าวัดกันด้วยวิธีเล่นและรายละเอียดทางดนตรีแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งเดียวกับที่คุณเคยได้ยินมาตั้งแต่ Raining Blood” ของ Slayer  และก็ไม่แตกต่างจาก Outro จาก “This Love” ของ Pantera หรือแค่ใช้เสียง Guitar ที่ต่ำลงและสายที่เยอะกว่า ที่ปรับให้ต่ำลงเล็กน้อยเท่านั้น ฟอร์มของเพลงก็แตกต่างกัน เพราะวิธีคิด Deathcore จะมีความเป็น Metalcore, Heavy Metal และ Thrash มากกว่า และใช้วิธีต่อท่อน ต่อ Riff ต่อท่อน Solo ท่อน Bridge ท่อน Mosh ท่อน Breakdowns ที่ชัดเจนไม่เหมือนกับ Slam ที่วิธีคิด Form เพลงจะออกไปทาง Black/Death และจะต่อด้วยท่อน Slam และก็ Slam มองจังหวะ Riff แบบขึ้นลงเอาเร็วมาต่อช้า Down ต่อ Blast ซะมากกว่าหลายคนกล่าวว่า Slam เหมือนฟังเพลง Rap แบบสุดโหดที่ Beat ร้องเป็นดนตรี Death ร้องทับโดยเสียงหมูโดนเชือดและ Deathcore บางวงจะเพิ่ม Sound ของ Synthesizer กับ  Keyboard ลอยๆติดกลิ่น Black เข้ามาด้วยซึ่งสิ่งพวกนี้จะไม่มีใน Slam แน่นอน 

เสียงร้องคืออีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างแม้ วง Deathcore มีทั้งกดต่ำแบบปกติ รวมไปถึงแบบ Pig Squeal แต่บางวงจะใช้สลับกับเสียงแหลมสูงแต่วง Deathcore อาจจะท่อน Melody ที่ไพเราะติดหูกว่าดนตรีที่ร้องอยู่ข้างหลังวงเหล่ากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและลมหายใจเข้าออกที่ริบหรี่แผ่วเบาอารมณ์ท่อน Chorus ของวง Killswitch Engage และ Deathcore ยังมีท่อนร้องเป็นแบบ Mob หรือ Gangster  

แต่ Slam จะร้องให้กดต่ำสุดลำไส้และป่วยจิตที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่มีท่วงทำนองไม่มีรูปแบบไม่มีเนื้อเพลงที่เข้าใจง่ายที่สาวๆจะสามารถร้องตาม ไม่เคยมีการกรีดร้องเสียงสูงเสียงร้องที่ใสสะอาดการตะโกนตะคอกสไตล์ Hardcore ไม่มีมันอ่อนแอไร้สาระ 

All Shall PerishAll Shall Perish

วงที่แนะนำ

ปี 2005 วง Through The Eyes of the Dead และ All Shall Perish เป็น 2 วงที่ออกมาก่อนแล้วเล่นดนตรีที่หนักเกินแนว Metalcore ซึ่งคนสมัยนั้นก็ยังหาคำบัญญัติให้มันไม่ได้ จนวันที่วง Job for a Cowboy ปล่อย EP Doom ออกมาเท่านั้นแหละวัยรุ่นสายหนักทั่วโลกก็โอบอุ้มคำว่า Deathcore ติดไว้กันแทบทุกครัวเรือน 

หลังจากนั้นก็มีวงที่เล่นตามๆกันออกมามากมายเหมือนกับทุกแนวดนตรีที่เคยมีมาในโลกนี้รุ่นแรกๆ ก็ได้แก่ Chelsea Grin, Oceano, Suffokate, Thy Art is Murder, Aversion Crown แต่วงที่ควรค่าแก่การฟังที่อยากแนะนำก็มี

DESPISED ICON 

JOB FOR A COWBOY 

SUCIDE SILENCE

WHITECHAPEL 

CARNIFEX 

ALL SHALL PERISH 

THE RED SHORE

I Killed the Prom Queen 

AS BLOOD RUNS BLACK 

BRING ME THE HORIZON

ในไทยเองก็มีวงที่เล่นแนวนี้อยู่ไม่น้อย Fathomless, No Penquins in Alaska, Teresa, Sin of Suffering, Eccentric Toilet, Inside Your Mind, Tragedy of Murder และ Hopeless 

Born of OsirisBorn of Osiris

หลังจากวันนี้

ปัจจุบันหลายสิ่งใหม่ใน Deathcore นั่นหยิบยืมได้อิทธิพลมากจากส่วนต่างๆของ Meshuggah ซะมากหลายๆ วงเริ่มพัฒนาไปเล่น Polyrhythms ใช้ Guitar 8 สาย Drop กันให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้พัฒนาเป็นดนตรี Nu-Deathcore ที่ปัจจุบันมีคำบัญญัติใหม่ว่า Djent อย่าง Born Of Osiris, Volumes, Veil Of Maya, Animal As Leader, Periphery, Slaughter to Prevail และพัฒนาต่อเป็น Djazz

Within DestructionWithin Destruction

ดนตรี Death Metal ในยุค 2020 ถือว่ายังไม่มีอะไรใหม่เป็นการผสมผสานกันระหว่างดนตรีที่เคยมีมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Within Destruction ลูกผสมที่สอดดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่นกับ Deathcore ปรุงด้วยดนตรี Electronic ติดแฟชั่นจัดหรือ Doujin Slamming อย่าง μ'sick ทางเอเชียมี Kawaii Metal อย่าง Babymetal, Aldious ที่มีทั้งสัดส่วนของ Death, Djent, J-POP, Hiphop, Autotune ซึ่งไม่รู้จะนับเป็น Metal ดีรึเปล่า เพราะแม้จะผสมหลายแนว แต่โทนด้วยรวมยังเป็น Metal บางวง Metal แบบเต็มสูบไม่นอกลู่นอกทางแต่ภาพลักษณ์ไม่เข้มเท่า Metal ยุค ‘90s แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่มีดนตรี Metal เกิดขึ้นมาบนโลกทุกวันนี้มันไปไกลกว่าที่มันเริ่มมามากๆ แล้ว อยู่ที่ว่าผู้ฟังจะยอมรับมันได้แค่ไหน ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่ามนุษย์จะนำพาดนตรีสายนี้ไปไกลสุดตรงไหน เพราะดนตรีมันก็คือดนตรีฟังให้มีความสุขดีกว่า อย่าไปแบ่งแยกอะไรให้มาก ทุกวันนี้โลกก็แบ่งแยกกันด้วยหลายเรื่องมามากพอแล้วทั้งประเทศชาติ การเมือง สีผิว เพราะงั้นให้ดนตรีนำพาความสุขมาให้เราดีกว่า   

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook