เปรียบเทียบราคาอาหารปี 2555-2568 เทียบ 4 นายกรัฐมนตรี แต่ละยุคแพงขึ้นเท่าไหร่

เปรียบเทียบราคาอาหารปี 2555-2568 เทียบ 4 นายกรัฐมนตรี แต่ละยุคแพงขึ้นเท่าไหร่

เปรียบเทียบราคาอาหารปี 2555-2568 เทียบ 4 นายกรัฐมนตรี แต่ละยุคแพงขึ้นเท่าไหร่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปิดราคาอาหารปี 2555-2568 เทียบ 4 นายกรัฐมนตรีของไทย แต่ละยุคแพงขึ้นเท่าไหร่

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงราคาอาหาร พ.ศ. 2555-2568 ในแต่ละช่วงของรัฐบาล ราคาอาหารเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง สะท้อนภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร ตั้งแต่สมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ประยุทธ์ เศรษฐาและแพทองธาร

ในยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ราคาอาหารเพิ่มขึ้นปีละ 5.2% ในยุคนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังรัฐประหาร 9 ปี (พฤษภาคม 2557-2566) ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 77% หรือเท่ากับเพิ่มขึ้นปีละ 6.6%

เปรียบเทียบราคาอาหารปี 2555-2568เปรียบเทียบราคาอาหารปี 2555-2568

ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเงินเฟ้อของทางราชการ แสดงว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของทางราชการไม่ได้ผลเท่าที่ควร มาถึงยุคนายกฯ เศรษฐา ราคาอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 3.3% และในยุคนายกฯ แพทองธาร ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2.0% ทั้งนี้คงเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ดูเงินฝืด ทำให้ราคาสินค้าไม่สามารถขึ้นได้มาก ถ้าขึ้นราคามากก็คงไม่มีความสามารถในการซื้อ

โดยหาก สรุปการเปลี่ยนแปลงราคาอาหาร สีลม สุรวงศ์ สาทร. 2555-2568 พบว่า

  • ราคาอาหารต่อจานเดือน พฤษภาคม 2555 อยู่ที่ 31.0 บาท
  • ราคาอาหารต่อจาน มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 64.0 บาท

โดยในช่วงปี 2555-2566 ปรับเพิ่มประมาณ 106.5% ส่วนราคาอาหารปีล่าสุด (2567-2568) เพิ่มขึ้น 2.0%

ถ้าดูที่การปรับขึ้นราคาอาหารในแต่ละรัฐบาล พบว่า

  • ราคาอาหารยุคยิ่งลักษณ์ (2555-2557) เพิ่มปีละ 5.2%
  • ราคาอาหารยุคประยุทธ์ (2557-2566) เพิ่มปีละ 6.6%
  • ราคาอาหารยุคเศรษฐา (2557-2567) เพิ่มปีละ 3.3%
  • ราคาอาหารยุคแพรทองธาร (2557-2567) เพิ่มปีละ 2.0%

ล่าสุดราคาอาหารรอบ 1 ปี (พฤษภาคม 2565 – พฤษภาคม 2567) เพิ่มขึ้น 2.0% แต่เมื่อดูภาพรวม 9 ปีหลังรัฐประหาร (พฤษภาคม 2557-2566) ราคาอาหารขึ้น 77% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 6.6% ส่วนตลอดระยะเวลา 9 ปีที่สำรวจ (พฤษภาคม 2555 – พฤษภาคม 2565) มีราคาเพิ่มขึ้น 105.6% หรือขึ้นปีละ 5.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ แสดงถึงความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่พึงจับตามอง

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 ไม่ได้สำรวจเพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้สำรวจกันในเดือนมิถุนายนแทน ส่วนในปี 2565 กลับมาสำรวจในเดือนพฤษภาคมเช่นทุกปี

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้จัดทำราคาอาหาร โดยถือเป็นดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ฯ ได้ริเริ่มจัดทำการสำรวจราคาอาหารในทุกรอบครึ่งปี โดยที่ผ่านมาได้ทำการสำรวจดำเนินการใน 21 ครั้ง แต่ในระยะหลังทำการสำรวจในรอบปี

เมื่อประเมินจากภาพรวมสะสม 13 ปี (พฤษภาคม 2555 – มิถุนายน 2568) ราคาเพิ่มจาก 31.0 บาท เป็น 64.0 บาท หรือเพิ่มขึ้น 106.5% และหากคิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร เพราะสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ ราคาอาหาร ณ เดือนพฤษภาคม 2566 หรือเป็นเวลา 9 ปีหลังรัฐประหารเมื่อพฤษภาคม 2557 เพิ่มขึ้น 77% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 6.6% ซึ่งถือว่าสูงขึ้นมาก หากเทียบกับก่อนรัฐประหารในช่วงเดือนพฤษภาคม 2555-2557 ปรากฏว่าราคาอาหารเพิ่มขึ้นเพียง 10.7% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 5.2% ต่ำกว่าช่วงหลังรัฐประหาร

ดังนั้น ในยุคก่อนรัฐประหาร ราคาอาหารเพิ่มขึ้นน้อยกว่าช่วงหลังรัฐประหารอย่างชัดเจน ส่วนในปีของรัฐบาลเศรษฐาเพิ่มขึ้น 3.3%

มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า อาจมีบางบริเวณ เช่น เมืองท่องเที่ยว หรือเมืองอุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่มของราคาขายมากกว่านี้ หรือสำหรับรายการอาหารแบบฟาสต์ฟูด ก็อาจปรับราคาเพิ่มขึ้นตามอำเภอใจโดยไม่ได้มีการควบคุม แต่สำหรับประชาชนกันเอง ย่อมมีความเห็นใจและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามสมควร จึงทำให้แทบไม่มีการปรับราคาขาย แต่ระยะหลังจากที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ทำให้การเพิ่มราคาอาหารเกิดขึ้นอย่างชัดเจน

ในกรณีนี้บางท่านอาจตั้งข้อสังเกตว่า แม้ราคาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณอาจจะลดน้อยลง แต่จากการสังเกตก็พบว่า ปริมาณก็อาจลดลงบ้าง อย่างไรก็ตามก็ยังอาจมีบางท่านให้ข้อสังเกตว่า แม้บางร้านปริมาณจะคงเดิม แต่คุณภาพก็อาจลดลง แต่ข้อนี้ ผู้สำรวจคงไม่สามารถไปตรวจสอบในรายละเอียดในระดับนั้น และคงอยู่ที่วิจารณญาณของทุกท่านที่พิจารณาผลการสำรวจนี้ ผู้ค้าบางรายกล่าวว่า ไม่สามารถขึ้นราคาอาหารได้เพราะคนซื้อไม่มีกำลังซื้อเท่าที่ควร ทั้งที่วัตถุดิบในการทำอาหารเพิ่มขึ้นก็ตาม จะสังเกตได้ว่าร้านที่ยังพยายามยืนราคาอาหารไว้ หรือไม่ขึ้นราคา จะมีผู้เข้าคิวอุดหนุนมากเป็นพิเศษ

จากการสัมภาษณ์ผู้ค้าพบว่า สิ่งที่ส่งผลที่เด่นชัดกว่าก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพื่อการขายอาหาร หากค่าเช่าแพงขึ้นมาก ก็จะทำให้ราคาอาหารเพิ่มมากขึ้น บางแห่งเช่าพื้นที่ขนาดประมาณ 18 ตารางเมตร เป็นเงินถึง 60,000 บาทต่อเดือน (ตรม.ละ 3,333 บาท) ดังนั้นรัฐบาลหรือกรุงเทพมหานคร อาจช่วยจัดหาพื้นที่ค้าขายในราคาถูก เพื่อให้ผู้ค้าสามารถยืนหยัดขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชน

และด้วยเหตุที่ค่าเช่าพื้นที่ขายแพง ก็เลยมีร้านอาหารประเภท “อาหารกล่อง” คือให้ผู้ซื้อๆ กลับไปรับประทานที่อื่น จึงประหยัดค่าเช่าได้มาก ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญ และตามศูนย์อาหารต่างๆ ก็พบว่า ร้านค้าหลายแห่งหายไป บางแห่งปิดร้านไปตั้งแต่ช่วงโควิดเมื่อ 1-2 ปีก่อน (2563-2564) อย่างไรก็ตามร้านค้าที่ปิดไปส่วนมาก เพิ่งปิดในช่วงปี 2564-2565 นี้เอง ในการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ร้านค้าบางแห่งก็ยังซบเซาอยู่

สำหรับราคาอาหารในปี 2568-2569 น่าจะยังค่อนข้างทรงตัวเพราะเศรษฐกิจฝืดเคืองกันทั่วหน้า หากขึ้นราคาสินค้าอาหารอีก ก็คงยิ่งขายยาก ราคาอาหารจึงน่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2% เช่นกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล