"บุญรอด"รุกหนักร้านอาหารญี่ปุ่น เร่งเครื่องตจว.-เพิ่มงบฯตลาดเท่าตัวสู้ศึกราเมน

"บุญรอด"รุกหนักร้านอาหารญี่ปุ่น เร่งเครื่องตจว.-เพิ่มงบฯตลาดเท่าตัวสู้ศึกราเมน

"บุญรอด"รุกหนักร้านอาหารญี่ปุ่น เร่งเครื่องตจว.-เพิ่มงบฯตลาดเท่าตัวสู้ศึกราเมน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุนสิงห์ตั้งเป้าขยายยามาโกย่า ราเมนครบ 20 สาขาปีหน้า เตรียมทุ่มงบฯมาร์เก็ตติ้งเพิ่มหลายเท่าตัวสู้ศึกราเมนแข่งดุ งัดกิมมิกเมนูคุ้มค่า-โคมาร์เก็ตติ้งดึงผู้บริโภคใช้จ่าย หลังยอดครึ่งปีแรกลดลง 10% พร้อมเปิดแบรนด์ใหม่ขยายฐานลูกค้าเพิ่ม

นางนงนุช แก้วบุญขุน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยามาโกย่า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง "บุญรอด บริวเวอรี่" โดยสันติ ภิรมย์ภักดี, ทางญี่ปุ่นเจ้าของแบรนด์ยามาโกย่า และบริษัท

กัสตรอนอมเม่อ จำกัด ในเครือของกลุ่มพาราวินเซอร์ ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2549 เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าแนวโน้มตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นยังสดใสต่อเนื่อง และมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะร้านราเมนที่มีแบรนด์อยู่ในตลาดจำนวนมาก บริษัทจึงตั้งใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องให้ครอบคลุมฐานลูกค้าและความต้องการบริโภคที่เกิดขึ้น

ปัจจุบันภายใต้บริษัทยามาโกย่า (ประเทศไทย) มีแบรนด์ราเมน 2 แบรนด์ ได้แก่ ยามาโกย่า และบาซารากะ รวมกัน 15 สาขา ซึ่งการขยายสาขาจะเริ่มในปีหน้าอีก 5 สาขา คาดว่าจะสามารถเปิดครบ 20 สาขาได้ภายในสิ้นปี 2557

ด้วยงบฯลงทุนสาขาละประมาณ 5 ล้านบาท โดยรูปแบบจะมีทั้งลงทุนด้วยตัวเองและผ่านระบบแฟรนไชส์ โดยแผนจากนี้จะเข้าไปเปิดสาขาในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกที่ชลบุรี และสนามบินภูเก็ต เนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพฯทำเลที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นั้นเปิดครอบคลุมเกือบหมดแล้ว โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าแบ่งเป็นชาวญี่ปุ่น 40% และพนักงานออฟฟิศ 60%

นอกจากนี้ ยังเตรียมใช้งบฯการตลาด 2 ล้านบาท เพิ่มจากปัจจุบันที่ใช้งบฯการตลาดเพียง 5-6 แสนบาทเท่านั้น เพิ่มการสื่อสารกับผู้บริโภคไปยังสื่อโทรทัศน์ หลังจากมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น โดย

เน้นกลยุทธ์โลคอลมาร์เก็ตติ้ง รวมถึงสื่อสารผ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเว็บไซต์

"เราจะหันมาเล่นกับสื่อโทรทัศน์เพื่อให้คนรู้จักยามาโกย่า ราเมนมากขึ้น เพราะศักยภาพของแบรนด์ยังสามารถขยายได้อีกจำนวนมาก ศูนย์เองก็อยากได้แบรนด์มาช่วยดึงลูกค้า มากไปกว่านั้นตลาดราเมนมีคู่แข่งจำนวนมาก เราเองก็ต้องออกมาทำอะไรให้คนที่ซื้อแฟรนไชส์ไปแล้วเขาได้กำไรกลับมาด้วย"

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลให้กำลังซื้อฝืดเคืองนั้น ทำให้สภาพขณะนี้ยังเน้นรอดูสถานการณ์สำหรับแผนการขยายสาขา โดยในปีนี้ยอมรับว่าบริษัทต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำลงถึง 10% ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทำให้ต้องมีการกระตุ้นผู้บริโภคด้วยวิธีใหม่ ๆ อาทิ การคิดเมนูที่เน้นความคุ้มค่ามากขึ้นจากราคาราเมนซึ่งอยู่ที่ 150-200 บาทขึ้นไป

นอกจากนี้ ยังเร่งเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อนำมาทำโปรโมชั่นให้ตรงจุด ทั้งทำขึ้นเองและโคโปรโมชั่นกับแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคให้มากขึ้น

นางนงนุชยังกล่าวอีกว่า บริษัทยังได้เตรียมพัฒนาแบรนด์และโมเดลร้านใหม่ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นแบบยากินิกุ (ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น) รับกับโอกาสที่ตลาดดังกล่าวมีการเติบโตสูง โดยมีแผนเปิดร้านเนื้อย่าง "คามุยอิเต" ย่านสุรวงศ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง ภายใต้งบฯลงทุน 10 ล้านบาท

ความแตกต่างคือ การนำเนื้อพรีเมี่ยมเข้ามาทำตลาด อาทิ เนื้อคามุย ซึ่งคล้ายกับเนื้อวากิวแต่ราคาเข้าถึงง่ายกว่า อยู่ที่กิโลกรัมละ 2,400-2,600 บาท ขณะที่คู่แข่งร้านปิ้งย่างญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมุ่งเจาะตลาดบุฟเฟต์เป็นหลัก

นอกจากนี้ มีแผนทดลองนำอาหารสไตล์ปิ้งย่าง หรือยากินิกุ เข้ามาเป็นเมนูในร้านยามาโกย่าในสาขาที่มีศักยภาพอย่างสุขุมวิท 20, อาคารอื้อจือเหลียง และทองหล่อ หากมีการตอบรับที่ดีก็จะแยกเปิดเป็นร้านในอนาคต

สำหรับปีนี้ยอดขายจะลดลงจากปีที่แล้ว 10% หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 65 ล้านบาท แต่หากสาขาสามารถเปิดสาขาใหม่ได้ทันในช่วงปลายปี จะทำให้บริษัทกลับมาเติบโตอยู่ที่ 5%


แสนแซ่บ ร้านอาหารอีสานไฮโซของ "นุ่น วรนุช"
นุ่น วรนุช กับธุรกิจหมวกไฮโซ "WORRA Panama Hat"
เปิดใจ ทายาทเจ้าพ่อชาเขียว วริษา ภาสกรนที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook