3 กูรู จับชีพจรลงทุนทอง...ขาลง จัดการความเสี่ยง...เพิ่มโอกาสกำไร

3 กูรู จับชีพจรลงทุนทอง...ขาลง จัดการความเสี่ยง...เพิ่มโอกาสกำไร

3 กูรู จับชีพจรลงทุนทอง...ขาลง จัดการความเสี่ยง...เพิ่มโอกาสกำไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ ทุกคนยังกังขา "ทองคำ" ยังเป็นสวรรค์แห่งการลงทุนที่ปลอดภัย หรือไม่ หลังจากเมื่อช่วงวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา

ราคาทองในตลาดโลกได้ปรับลดลงรุนแรงแบบไม่คาดฝัน จนทำให้ราคาทองคำในประเทศลดลงต่ำแตะระดับ 1.8-1.9 หมื่นบาท ขณะที่สัญญาณราคาทองคำก็เปลี่ยนทิศเป็น "ขาลง" อย่างชัดเจน

เมื่อ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา "ประชาชาติธุรกิจ" ได้จัดเสวนาเรื่อง "จับชีพจรทอง...ขาลง" โดยได้รับเกียรติจาก นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก,

นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด 2 ผู้ให้บริการค้าทองคำครบวงจรรายใหญ่ของไทย และ นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธาน บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำเข้าทองรายใหญ่ของประเทศ ได้สะท้อนการลงทุนทองแง่มุมต่างๆ ในภาวะผันผวน


ลงทุนทองวูบ-โกลด์ฟิวเจอร์สหาย 50%

นาย แพทย์กฤชรัตน์ ฉายภาพว่า ราคาทองคำขึ้นมาตลอด 12 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1999 จากระดับ 300 เหรียญ ไปทำจุดสูงสุดเดือน 9 ปี 2011 ที่ 1,920 เหรียญ และตั้งแต่ปี 2011 ค่อย ๆย่อตัวลง ซึ่งจากต้นปีถึงตอนนี้ถ้าถือในรูปเงินบาท ต้องขาดทุนแล้วอย่างน้อย 20% และถ้านับในช่วงหนึ่งปีครึ่ง ผลตอบแทนหายไปประมาณ 35-38% ของราคาที่ปรับขึ้นมาในช่วง 12 ปีแล้ว

ตอนนี้นักลงทุนทองทุกประเภทได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะทองแท่ง ทุกคนติดดอย มีทุกราคาตั้งแต่สูงสุด 27,200 บาทลงมาเพราะ ไม่มีใครคิดว่าราคาจะหลุด 20,000 บาท ทำให้การลงทุนในทองแท่งลดลง ขณะที่ทองรูปพรรณ ตอนนี้ซื้อกันระเบิด ตอนนี้เกิดภาวะวิกฤตผลิตไม่พอขาย บางร้านเหลือแต่กระบะเปล่า ๆ ซึ่งไม่เคยเกิดในรอบ 20 ปี และคนซื้อกันทั่วโลก ทั้งอินเดีย จีน จึงผลิตไม่ทัน จะเป็นเช่นนี้ไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน

ส่วน ตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส เกิดวิกฤตตรงกันข้าม มีนักลงทุนครึ่งหนึ่งขาดทุนเพราะลงทุนผิดทาง ซื้อล่วงหน้าโดยคิดว่าทองจะขึ้น แต่ทองเกิดตกในช่วงสงกรานต์แบบเป็นสถิติโลกที่ราคาทองลง 2 วันติดกัน ตกไป 220 เหรียญ ลูกค้าโกลด์ฟิวเจอร์สหายไป ตอนนี้จะเห็นว่าลดลงทั้งจำนวนสัญญา และมูลค่าราว 50% โดยเฉพาะนักลงทุนมีกำลังซื้อน้อยลง เล่นสัญญา 10 บาท

"การ ลงทุนทองคำขาลงก็ต้องใช้ความรู้ ต้องใช้กลยุทธ์ เพราะคนไทยถนัดลงทุนขาขึ้น ไม่เคยถนัดลงทุนขาลง สิ่งที่สำคัญคือต้องเข้าใจ และรู้ลึก จึงจะสามารถอยู่กับมันได้ ต่อให้ขึ้นหรือลงก็สามารถทำกำไรได้ทุกรูปแบบ เสน่ห์ของทองอยู่ตรงนี้ อยากให้คนไทยเห็นว่าลงก็เล่นได้"

สำหรับ กลยุทธ์ปีนี้ แนะนำให้ลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 5 วัน และหากถือยาวอาจได้รับผลกระทบจากค่าบาทแข็งอีกเด้ง เพราะหลายคนมองบาทแข็งไปถึงสิ้นปี ดังนั้นแนะนำให้เล่นสั้นไปก่อน และที่สำคัญนักลงทุนต้องหยุดขาดทุนให้เป็นและเร็ว สาเหตุที่นักลงทุนขาดทุนหนัก ก็เพราะตอนขาดทุน 500 บาท ไม่ยอมหยุดขาดทุน แต่มาหยุดตอนขาดทุน 2-3 พันบาท

"อย่างไรก็ตามที่พูดว่าแนวโน้มทองคำ ขาลง ไม่ได้หมายถึงไม่ขึ้น เพราะระยะสั้น 7-8 วันที่ผ่านมา ทองกลับมาราว 100 เหรียญ ดังนั้นกลยุทธ์ก็ต้องเปลี่ยนกลับไปกลับมา ไม่ได้หมายถึงว่าให้เล่นทองขาลงอย่างเดียว"

แนวโน้มราคาทองคำ เขาวิเคราะห์เชิงสถิติ ว่า สัญญาณยังไม่ชัดเจนว่าทองคำลงต่ำสุดหรือยัง ช่วงนี้เป็นการปรับเทคนิคอลรีบาวนด์เท่านั้น แต่เชื่อว่าขาลงใกล้สุด เพราะมีดีมานด์ซื้อรองรับ มองว่าแนวโน้มราคาอาจตกไปถึงสิ้นปี และคาดว่าประมาณ 3 ปี ตลาดทองจะฟื้นตัว เพราะจะเกิดเงินเฟ้อจากที่ทุกประเทศปั๊มเงินออกมา เพราะทองจะมีคุณสมบัติต่อต้านเงินเฟ้อ


โอกาสของ "ทองรูปพรรณ"

นาย ธนรัชต์กล่าวว่าขณะนี้ พ่อค้าตลาดทองรูปพรรณถือเป็นโอกาส แต่ตอนนี้ก็เริ่มลดลงบ้างแล้ว ถ้าเทียบกับช่วงสงกรานต์ ช่วงนั้นเรียกว่าตลาดแตกจริง ๆ เพราะพอราคาทองต่ำกว่า 2 หมื่นบาท พวกรายย่อยก็กลับเข้ามา ทำให้ตลาดทองรูปพรรณขาดตลาด ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากกลุ่มนักลงทุนทอง

ปัญหา ขณะนี้คือช่างทองไม่พอ เพราะที่ผ่านมาตลาดทองรูปพรรณหดตัว ทำให้ช่างทองหันไปทำอาชีพอื่น ดังนั้นตอนนี้ก็เน้นการผลิตทองรูปพรรณลายง่าย ๆ ที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตแบบ 2-3 วันเสร็จ ซึ่งยอมรับว่าไม่เคยพบความต้องการทองรูปพรรณจำนวนมาก ถึงกับเห็นแต่กำมะหยี่สีแดงในตู้ทองเช่นนี้มาก่อน

นายธนรัชต์ กล่าวว่า ตอนนี้มองภาพเป็นช่วงขาลงของทองคำ จากภาวะตลาดโลกที่ปีนี้ลดลงประมาณ 15% และเมืองไทยก็ลงไปกว่า 20% ทั้งมีการประมาณการว่า หากราคาตลาดโลกลงไปที่ระดับ 1,280 เหรียญ เหมืองจะมีการลดการผลิตลง ซึ่งเรามองว่าระดับ 1,320 เหรียญเป็นจุดต่ำสุด จากช่วงสงกรานต์ลงไปต่ำสุดที่ระดับ 1,330 เหรียญ

ขณะที่ราคาทองไทยก็ต้องดูค่าเงินบาท หากปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าในระดับ 7% ดังนั้นโอกาสราคาทองดีดกลับน่าจะเกิดขึ้นยาก

กรณี ของนักลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์สเจ็บตัวค่อนข้างมากจากช่วงสงกรานต์ จนทำให้หนีหายไป นายธนรัชต์กล่าวว่า นักลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์สที่อยู่ในตลาดประมาณ 1 ปี ซึ่งลงทุนเฉลี่ยประมาณ 10 ครั้ง อาจมีการขาดทุน 2 ครั้ง นักลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการปิดความเสี่ยง และเข้าใจลงทุนในเรื่องของอัตราทด แน่นอนในช่วงขาลงก็มีคนที่เจ็บตัว ซึ่งต้องใช้เวลาในการรักษาตัวหรือหันไปเลือกลงทุนอย่างอื่นแทน แต่หากนักลงทุนเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกทาง ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และเป็นประโยชน์


ผู้นำเข้าทองไม่มีปัญหากับบาทแข็ง

นาง พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ แห่งวายแอลจี กล่าวว่า ปีนี้ตลาดเริ่มเปลี่ยน นักลงทุนที่เคยลงทุนทองคำแท่งเริ่มน้อยลง ขณะที่ทองรูปพรรณเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพราะเป็นกลุ่มผู้ซื้อรายย่อย โดยราคาทองคำเป็นเทรนด์ขาลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และตั้งแต่ต้นปีราคาทองคำในรูป Gold Spot ลดลงมา 15% ในรูปเงินบาทลงมา 18% ถือว่าค่อนข้างเยอะ ทำให้มีปริมาณการซื้อสูงขึ้น ทำให้ช่วง 4 เดือนแรกปีนี้จะเป็นภาพการนำเข้าทองเป็นหลัก แต่แทบไม่เห็นวอลุ่มทางส่งออกเลย

โดยนักลงทุนทองแท่งส่วนใหญ่ ไม่ได้หวังจะถือครองทองคำ แต่หวังที่จะมีกำไรจากส่วนต่างของราคา หลังจากช่วงสงกรานต์ที่ราคาลงแรง กลุ่มนี้เจ็บตัวค่อนข้างเยอะจึงเห็นการชะลอการลงทุน เป็นช่วงกล้า ๆ กลัว ๆ ดังนั้นวอลุ่มทองแท่งที่เข้ามาในระยะหลัง ส่วนใหญ่จะมาจากร้านค้าทองเพื่อนำไปผลิตสร้อย

นางพวรรณ์ฉายภาพว่า ราคาทองคำช่วงสงกรานต์ถือว่าต่ำสุดของ 3 ปีที่ผ่านมา มองแนวโน้มราคาจากปัจจัยเทคนิค หากหลุด 1,300 เหรียญ/ออนซ์ ก็มีโอกาสหล่นลงไป 1,150 เหรียญ/ออนซ์ แต่ถ้ารับอยู่ก็มีโอกาสที่ราคาจะรีบาวนด์ขึ้นไปได้ 1,550 เหรียญ แต่หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ 1,520 เหรียญ/ออนซ์ ในระดับเดิมได้ ราคาก็จะวิ่งอยู่ระหว่าง 1,300-1,500 เหรียญ/ออนซ์ และถ้าราคายังไม่สามารถยืนเหนือ 1,520 เหรียญได้ แนวโน้มราคาทองคำก็จะเป็นขาลงต่อ

อย่างไรก็ตามตอนนี้มีแรงซื้อเข้า มาเยอะมาก โดยช่วงต้นปีพบว่าธนาคารกลางหลายประเทศเข้ามาซื้อทองคำเพิ่ม ทั้งรัสเซีย เกาหลีใต้ จีนที่เข้ามาพยุง ทำให้มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับขึ้น ขณะที่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อย่างปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐ ถ้าวันที่ 19 พ.ค.นี้ หากสามารถเคลียร์ได้ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำย่อลง แต่ถ้าเคลียร์ไม่ได้ก็จะเป็นแรงสนับสนุน รวมถึงจากที่ยุโรปจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยก็จะกดดันราคาทองคำ ตอนนี้ข่าวที่มีส่วนผลักดันให้ทองคำขึ้นมีตัวเดียวคือ QE ส่วนแรงซื้อที่เกิดขึ้นก็แค่พยุงไว้

สำหรับปัญหาค่าเงินบาทต่อการ นำเข้าทองนั้น นางพวรรณ์กล่าวว่า ในส่วนของผู้นำเข้าทองคำส่วนใหญ่ซึ่งจะหน้าที่เป็นเหมือนโบรกเกอร์ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อทองคำจะมีการทำประกันความเสี่ยงทั้ง 100% ทั้งการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน หรือป้องกันความเสี่ยง Gold Spot ซึ่งถ้าผู้ประกอบการรู้จักวิธีการบริหารความเสี่ยงก็จะไม่มีผลกระทบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook