เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BEAUTY? ไขข้อสงสัยหลังราคาดิ่งแรง

เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BEAUTY? ไขข้อสงสัยหลังราคาดิ่งแรง

เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BEAUTY? ไขข้อสงสัยหลังราคาดิ่งแรง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

BEAUTY เป็นผู้จำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ถือเป็นหุ้น 10 เด้งในตำนานที่มีการเติบโตติด ๆ กันไม่มีหยุด ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในขาขึ้นรอบใหญ่มาโดยตลอด แต่ล่าสุดกลับเกิดเหตุการณ์ราคาดิ่งฮวบ คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY ?

BEAUTY หรือ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว โดยขายตามร้านของตัวเองและยังมีขายตามช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นอีกด้วย โดยมีชื่อของตัวเองดังนี้ :

BEAUTY BUFFET, BEAUTY COTTAGE, BEAUTY MARKET, MADE IN NATURE และ BEAUTY PLAZA

ตลาดดูจะให้ความสนใจกับการเติบโตของ BEAUTY โดยงบลงทุนของ BEAUTY ต่อสาขาหนึ่งนั้นไม่ได้ใช้เงินเยอะ เลยทำให้ BEAUTY สามารถที่จะขยายสาขาในรูปแบบร้านของตัวเองได้อย่างรวดเร็วเรื่อยมา

จำนวนสาขาของ BEAUTYจำนวนสาขาของ BEAUTY

 

ถ้าดูตามภาพ จำนวนสาขาของ BEAUTY นั้นได้เพิ่มจำนวนเกือบเท่าตัวในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการขยายสาขาที่ค่อนข้าง Aggressive มาก และเพราะการขยายสาขาที่มากขนาดนี้ ทำให้ BEAUTY ถูกจัดเป็นหุ้นเติบโตในสายตาของนักลงทุนหลายคน

รายได้และกำไรของ BEAUTYรายได้และกำไรของ BEAUTY

 

ถ้ามาดูด้านรายได้และกำไรของ BEAUTY ถือว่าเป็นบริษัทที่เติบโตสูงมากจริงๆ อัตราการเติบโตของรายได้ (Top-Line) นั้นไม่เคยต่ำกว่า 25% เลย

2 ปีที่ผ่านมา รายได้โตเกิน 40% เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมาก

ในด้านกำไรซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนดูและให้ความสำคัญมากนั้นก็มีการเติบโตที่น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมาที่กำไรโตถึง 87.4%

สินค้าใหม่ที่ปล่อยในปี 2017 ของ BEAUTYสินค้าใหม่ที่ปล่อยในปี 2017 ของ BEAUTY

 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ BEAUTY ใช้ในการเติบโต คือการออกสินค้าใหม่เยอะมาก อย่างปีที่แล้วออกสินค้ากว่า 257 ชนิดสินค้า (SKU หรือ Stock Keeping Unit)

คำถามคือ BEAUTY ออกสินค้าออกมาเยอะแบบนี้ทำไม? และทำได้อย่างไร?

สาเหตุที่ BEAUTY ออกสินค้าเยอะขนาดนี้ เป็นเพราะธุรกิจเครื่องสำอางนั้นเป็น Fast Fashion หรือมีการเปลี่ยนเทรนด์ที่รวดเร็วมาก BEAUTY จึงต้องออกสินค้าใหม่มาเรื่อย ๆ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา และกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ BEAUTY สามารถออกสินค้าได้หลายรูปแบบขนาดนี้เป็นเพราะ BEAUTY ใช้วิธีการจ้างคนนอกผลิต (Outsource) สินค้าของตัวเองทั้งหมดเพราะการที่มีโรงงานของตัวเองเพียงโรงงานเดียวนั้นไม่สามารถที่จะผลิตสินค้าออกมาได้ดีทุกอย่างหมด

การ Outsource มีข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเทรนด์ของสินค้านั้นหายไป BEAUTY ก็แค่เลิกจ้างผลิตเท่านั้นเอง ไม่ต้องแบกรับค่าโรงงานเลย

ตัวเลขแสดงสถิติสำคัญของ BEAUTYตัวเลขแสดงสถิติสำคัญของ BEAUTY

 

ด้วยการขยายสาขาที่เยอะ รายได้และกำไรเติบโตไม่สะดุด อีกทั้งยังโตในอัตราที่สูงมาก ทำให้นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของ BEAUTY ไว้พอสมควรว่า ควรจะโตตลอด และโตมากๆ ส่งผลให้ ค่า PE ไม่เคยต่ำกว่า 40 เท่าเลยเพราะนักลงทุนเชื่อว่าการเติบโตจะโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ได้

แต่ในอาทิตย์ที่ผ่าน ๆ มานี้ ราคาของหุ้น BEAUTY มีการปรับลงอย่างมาก

หลังจาก นายสุวิน ไกรภูเบศ ผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของ BEAUTY ได้ออกมาแถลงว่า ไตรมาส 2 ผลงานของบริษัทพลาดเป้าไป ส่วนปีนี้ยังคงอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin หรือ NPM) ที่มากกว่า 20%

เรื่องนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนแปลกใจและตกใจอย่างมากที่ BEAUTY จะคงอัตรากำไรสุทธิที่ 20% เพราะจริงๆ แล้ว นักลงทุนหวังอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่านี้มาก ถ้าเทียบปีที่แล้วคืออัตรากำไรสุทธิวิ่งทะลุ 30% มาแล้วด้วยซ้ำไป (คิดว่าในหัวนักลงทุน อัตรากำไรสุทธิ 20% เป็นเรื่องที่ไม่อยากได้ยินเลยด้วย) นอกจากนี้ BEAUTY ยังไม่เคยประสบปัญหาที่พลาดเป้าเลย แล้วดันมาพลาดตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง (Priced-In) ไปมากแล้วด้วย จากผลประกอบการที่ดีมากในปีที่แล้ว

จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการเทขายหุ้น BEAUTY อย่างหนัก หนักขนาดที่ว่าลง 30% ภายในวันเดียว และยังลงต่อในอีกวันต่อมา

คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ที่ราคานี้ BEAUTY น่าซื้อหรือยัง? เหตุการณ์นี้เป็นการตกใจเกินเหตุของตลาดหรือไม่? แล้วเป็นโอกาสในการลงทุนหรือเปล่า?

คำตอบที่ดีที่สุด คงจะอยู่ที่ตัวนักลงทุนเองว่า พอใจที่ราคาเท่าไหร่ เพราะพื้นฐานไม่ได้สดใส เหมือนที่ตลาดคาดหวังไว้ในอดีตแล้ว ซึ่งก็สะท้อนผ่านราคาที่ลงมาแรง ทำให้ค่า PE ลดลง จะเห็นว่าถูกกว่าในอดีตมากพอสมควร

พอมาดูทางด้านปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็จะเห็นว่าหนาแน่นมาก ๆ แสดงให้เห็นถึงอาการตื่นตระหนกของนักลงทุน ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสีย สามารถรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจใช้โอกาสนี้พิจารณาเข้าซื้อ BEAUTY ในจังหวะ Panic Sell ที่มี Volume มากขนาดนี้

แต่ถ้าใครเป็นนักลงทุนสายเสี่ยงต่ำหรือ Conservative หน่อย ก็รอดูงบไตรมาส 2 ก่อนตัดสินใจได้ครับ ให้งบช่วยยืนยันอีกทีน่าจะช่วยให้สบายใจกว่า และดูธุรกิจว่าจะมีทิศทางอย่างไรกันแน่

ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยรอบด้าน วิเคราะห์ความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ให้ดี ก่อนตัดสินใจลงทุนครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook