4 ข้อควรระวังเมื่อซื้อของออนไลน์ เพื่อไม่ให้โดนหลอก

4 ข้อควรระวังเมื่อซื้อของออนไลน์ เพื่อไม่ให้โดนหลอก

4 ข้อควรระวังเมื่อซื้อของออนไลน์ เพื่อไม่ให้โดนหลอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยุคนี้เราต้องยอมรับแล้วว่า การซื้อและขายของออนไลน์ เริ่มเข้ามามีส่วนในการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น เพราะด้วยความสะดวกสบาย รวมถึงยังเข้าถึงได้ง่าย ซื้อของผ่านโทรศัพท์มือถือก็ได้ จึงทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะใช้บริการซื้อของออนไลน์ แต่ทั้งนี้การซื้อของออนไลน์ก็มีข้อที่ควรระวังอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเราไม่ระวังอาจจะต้องมาเสียใจภายหลังก็ได้

วันนี้ MoneyGuru.co.th จึงมี 4 ข้อควรระวังเมื่อซื้อของออนไลน์ เพื่อไม่ให้โดนหลอก มาฝากกันเพื่อที่พวกเราจะได้ซื้อของออนไลน์กันได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น

1. อย่าลืมตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่เราสนใจจะซื้อสินค้านั้นมีการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือไม่

การตรวจสอบนี้จะเป็นการช่วยให้เราผู้ที่สนใจจะซื้อสินค้าสบายใจขึ้นได้ระดับหนึ่ง เพราะว่าการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น เจ้าของเว็บไซต์จะต้องมีการระบุข้อมูลส่วนตัวเพื่อขอขึ้นทะเบียน ซึ่งส่วนนี้จะกรองมิจฉาชีพไปได้ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วมิจฉาชีพมักจะไม่อยากแสดงตัวตนให้ผู้อื่นรับรู้นั่นเอง

หรืออาจจะสังเกตได้จากภายในเว็บไซต์นั้นๆ หากว่าทางเว็บไซต์ได้จดทะเบียนไว้ เจ้าของเว็บไซต์ก็จะได้รับเลขทะเบียนและมักจะมีการแสดงสัญลักษณ์ของทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไว้อย่างชัดเจนภายในเว็บไซต์ หรือหากอยากตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็สามารถทำได้เพียงแค่เข้าไปเช็กได้ที่เว็บไซต์ http://www.dbd.go.th

2. อย่าลืมเช็กดูอายุของเว็บไซต์ว่าประกอบธุรกิจมาเป็นเวลานานแค่ไหน

เราควรจะไม่ลืมดูข้อนี้ให้ดีก่อนการตัดสินใจซื้อกับทางเว็บไซต์ หากเป็นไปได้ควรที่จะมีการเปิดเว็บไซต์มาไม่น้อยกว่า 1 ปี เพราะหากเป็นเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนั้นอาจจะเป็นการสุ่มเสี่ยงได้ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงก็เป็นได้ แต่ถึงแบบนั้นเราก็ควรที่จะเช็กรายละเอียดอื่นๆ ประกอบไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสแก่พ่อค้าแม่ค้ารายใหม่ๆ นั่นเอง

โดยรายละเอียดอื่นๆ ที่จะมาเช็กเพื่อประกอบการตัดสินใจ อาทิเช่น ลองนำชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล ของเจ้าของเว็บไซต์หรือผู้ขายไปทำการค้นหาในข้อมูลใน google เพื่อหาประวัติการค้าขายต่างๆ หากว่ามีประวัติว่าเคยหลอกลวง ก็ย่อมจะต้องมีคนพูดถึงอย่างแน่นอน รวมถึงให้ลองเช็กดูที่โซเชียลยอดนิยมอย่าง Facebook เพื่อตรวจสอบว่าเคยมีการขายของผ่านโซเชียลหรือไม่ เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ย่อมจะไม่มีทางปล่อยผ่านช่องทางการขายเหล่านี้ไปได้

3. เช็กเสียงตอบรับจากลูกค้าของทางเว็บไซต์

หากเว็บไซต์ที่เราสนใจจะซื้อสินค้านั้นเปิดมาเป็นเวลานาน ก็ให้เราลองเช็กเสียงตอบรับจากลูกค้าของทางเว็บไซต์ว่า มีการกล่าวชมทางเว็บไซต์หรือมีการตำหนิทางเว็บไซต์มากน้อยขนาดไหน หากยิ่งมีเสียงตอบรับที่ดีก็แสดงว่าเราค่อนข้างมั่นใจทางเว็บไซต์ได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพทั้งสินค้าและบริการ แต่ในทางตรงกันข้ามหากว่ามีคำตำหนิถึงสินค้าและบริการเยอะๆ เราก็ควรที่จะถอยออกมา แล้วลองเลือกดูจากเว็บไซต์อื่นดูก่อนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้ แต่โดยปกติแล้วหากเว็บไซต์ไหนเปิดทำการค้าขายมาเป็นเวลานานๆ ก็ย่อมแสดงได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า

4. ตรวจสอบความเอาใจใส่ของผู้ขายหรือเจ้าของเว็บไซต์

อย่าลืมเช็กดูความเอาใจใส่ของผู้ขายหรือเจ้าของเว็บไซต์ว่า มีการเอาใจใส่หมั่นตอบคำถามลูกค้าหรือผู้ที่สนใจไหม หากมีความเอาใจใส่คอยดูแลและบริการ ก็เป็นการเชื่อใจได้ในระดับหนึ่งว่าเว็บไซต์นี้มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย

นอกจากจะเช็กภายในเว็บไซต์แล้วนั้นให้ลองเช็กดูจากหน้าเพจในโซเชียลอย่าง Facebook ของทางเว็บไซต์ด้วยว่ามีการดูแลเป็นอย่างไร หากเจอกรณีที่ลูกค้าพบเจอปัญหาจากสินค้าที่ซื้อจากทางเว็บไซต์ ก็ให้เราลองดูว่าทางมีการดูแลที่ดีหรือไม่ และจัดการปัญหาให้ลูกค้าได้ดีแค่ไหน เพื่อที่จะใช้ในการประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าของเรานั่นเอง

จะเห็นได้ว่าข้อควรระวังเพื่อไม่ให้โดนหลอกจากการซื้อของออนไลน์นั้นทำได้ไม่ยาก ขอแค่เพียงเราไม่ใจเร็วด่วนได้ หรือ หน้ามืดไปกับราคาถูก จนลืมที่จะเช็กรายละเอียด ซึ่งเราบอกได้เลยว่าสินค้าราคาถูกมากๆ บนโลกออนไลน์นี้ทำให้คนโดนหลอกมาเยอะแล้ว ดังนั้นเราควรที่จะมีสติเสมออย่ามองแค่เพียงราคาแล้วตัดสินใจซื้อเลย ควรจะเช็กรายละเอียดต่างๆ ด้วยเพื่อที่เราจะได้ไม่ถูกหลอก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook