ทำไม ? คนไทยควรภูมิใจ “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” ใน “อัสตานา เอ็กซ์โป 2017”

ถ้าใครติดตามงานสายเอ็กซ์โปอย่างเหนียวแน่น จะรู้ว่าอาคารศาลาไทย หรือไทยแลนด์ พาวิลเลียนของไทยมักได้รับการพูดถึงอยู่เสมอบนเวทีเวิลด์ เอ็กซ์โป งานนิทรรศการนานาชาติระดับโลกซึ่งจะเวียนเปลี่ยนเจ้าภาพ และธีมการจัดงานไปเรื่อยๆ

เปรียบไปแล้วงานนี้ยิ่งใหญ่พอๆ กับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่นักกีฬาไทยมีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันและคว้าเหรียญรางวัลมาให้ภาคภูมิใจ หรือแม้แต่การแข่งขันฟุตบอลโลกที่ทีมนักกีฬาฟุตบอลไทยใฝ่ฝันได้เข้าร่วมชิงชัย

ศักดิ์ศรีงาน “อัสตานา เอ็กซ์โป 2017 “ ที่เมืองอัสตานา ประเทศคาซัคสถานครั้งนี้จึงไม่แตกต่างจากอีเวนท์ระดับโลกอื่นๆ โดยธีมงานครั้งนี้คือ “พลังงานแห่งอนาคต” (Future Energy) ที่มีกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพส่งต่อการทำงานให้กับบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เจ้าพ่องานอีเวนท์รับผิดชอบดูแลงานทุกขั้นตอนจนสามารถคว้าที่ 2 ของพาวิลเลียนยอดนิยมที่ดีที่สุดของเด็กและครอบครัวชาวคาซัค ประเทศเจ้าภาพในปีนี้

แต่กว่าจะคว้ารางวัลอันน่าภาคภูมิใจเช่นนี้เข้าขั้นปาดเหงื่อ ขนาดระดับเทพอย่างคุณเมฆ เกรียงไกร กาญจนโภคิน  CEO  บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ยังเอ่ยปากว่าเป็นการทำงานเอ็กซ์โปที่ยากและท้าทายที่สุดเท่าที่เคยทำมา

Sanook! Money จึงสรุปเป็น 7 เรื่องกว่าจะเป็น “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” ภายใต้แนวคิด “Bioenergy for all แบบสมศักดิ์ศรีมาให้ทุกคนรู้จักฝีมือ และความสามารถของคนไทยบนเวทีระดับโลก

1.ประเทศไทยได้พื้นที่เพียงแค่ 934.05 ตารางเมตรถือเป็นประเทศที่ได้พื้นที่จัดงานเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่ของพาวิลเลียนจากประเทศอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันไม่ว่าจะเป็นตุรกี จอร์แดน และอาเซอร์ไบจาน

2.249 ล้านบาท คือตัวเลขงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการจัดงานครั้งนี้  หากเทียบกับงบประมาณในการดำเนินงานของประเทศคาซัคสถานเจ้าภาพที่ใช้งบประมาณในการดำเนินพาวิลเลียนทั้งสิ้นประมาณ  2 หมื่นล้าน คิดแล้วงบประมาณของเราห่างจากเค้ากว่า 4 เท่าตัว

3.แม้งบประมาณจะน้อย พร้อมประสบปัญหาในการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ในการจัดสร้างดำเนินการ แต่ไทยแลนด์ พาวิลเลียนกลับเป็นชาติแรกที่ส่งมอบพาวิลเลียนแบบ 100 % ก่อนอีกกว่า 100 ประเทศเข้าร่วม นับแล้วประมาณ 15 วันก่อนวันเปิดงาน

4.พลังงานชีวภาพ หรือ Bioenergyที่เราเลือกชูเป็นหัวข้อเด่น เป็นเรื่องที่ประเทศอื่นๆ มักไม่หยิบขึ้นมาเล่า โดยเฉพาะชาวคาซัคสถานถือเป็นเรื่องใหม่มาก เนื่องจากทรัพยากรหลักของคาซัคสถานคือน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เงิน แร่ธาตุต่างๆ และทองคำ

5.ไทยแลนด์ พาวิลเลียนคว้าที่ 2 พาวิลเลียนยอดนิยมดีที่สุดของเด็กและครอบครัวชาวคาซัค จากการจัดอันดับโดยทีวี แชนแนล อัสตานา เอ็กซ์โป ทีวี สื่อกลางหลักของงานเอ็กซ์โปครั้งนี้ นอกจากนี้ยังติดอันดับ 1 ใน 5 พาวิลเลียนยอดนิยมที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกจาก 115 ประเทศทั่วโลก

6.มาสคอต “พลัง” รูปฝักข้าวโพดสีเหลืองกลายเป็นดาวเด่นตัวแทนไทยแลนด์ พาวิลเลียน ที่ผู้เข้าชมงานอยากถ่ายภาพด้วยโดยเฉพาะเด็กๆ คาซัคจะรู้จักและเรียกกันติดปากว่า “ปาลัง” นั่นเป็นเพราะในช่วงฤดูหนาวที่คาซัคสถานมีข้าวโพดต้มขายเยอะมาก การเลือกข้าวโพดเป็นตัวแทนจึงทำให้ชาวคาซัคเข้าถึงได้ง่ายกว่าการเลือกใช้สัญลักษณ์อื่น

7.ก่อนจะเป็นไทยแลนด์ พาวิลเลียนให้ได้ภาคภูมิใจทีมงานดำเนินการใช้เวลาทำการสำรวจข้อมูลของชาวคาซัคสถานล่วงหน้าประมาณ 1 ปี ทำให้ทราบข้อมูลเพื่อกำหนดกลยุทธ์การทำงานเช่นชาวคาซัคสถานชอบเสียงดนตรี ความสนุกสนานและความบันเทิง 40 % ของชาวคาซัคเป็นคนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ดังนั้นคอนเทนท์จะต้องตอบโจทย์สำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชน ครอบครัวเป็นหลัก

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อเราเข้าไปสัมภาษณ์เด็กมัธยมต้นชาวคาซัคสถานคนหนึ่งที่เข้ามาเยี่ยมชมไทยแลนด์ พาวิลเลียนแล้วเธอจะบอกว่าเธอรู้จักไทยแลนด์ พาวิลเลียนจาก “พลัง” มาสคอตประจำไทยแลนด์ พาวิลเลียน ภาพถ่ายในโซเชียลมีเดียกับ “พลัง” หรือ “ปาลัง” ทำให้เธอเข้ามาที่ไทยแลนด์ พาวิลเลียนเป็นครั้งที่ 4 แล้ว

นอกจากนี้เธอยังบอกว่า “เนื้อหาในไทยแลนด์ พาวิลเลียนมีความแตกต่างจากพาวิลเลียนชาติอื่น ที่นำพลังงานจากพืชมาใช้ทดแทนได้ มันเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน” ก่อนจะไปแนะนำให้เพื่อนๆ มารู้ว่าข้าวโพดก็นำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนได้

นับจากนี้อีกเพียงประมาณ 1 เดือนก่อนงานอัสตานา เอ็กซ์โป 2017 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 กันยายน 2560 นี้ นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยแล้ว งานเอ็กซ์โปครั้งนี้ประเทศไทยยังได้โอกาสบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมของประเทศไทยในหลากหลายมิติให้ชาวโลกได้รับรู้ ถือเป็นการแบรนด์ดิ้งประเทศไทยไปสู่สายตาชาวโลกที่ใช้ทั้งสมอง ไอเดีย การวางแผน และความเป็นมืออาชีพ