สมคิดชงครม.3พ.ย.เพิ่มสิทธิประโยชน์ลงทุน

สมคิดชงครม.3พ.ย.เพิ่มสิทธิประโยชน์ลงทุน

สมคิดชงครม.3พ.ย.เพิ่มสิทธิประโยชน์ลงทุน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รองนายกฯ สมคิด ชง ครม. 3 พ.ย. เพิ่มสิทธิประโยชน์ลงทุน ขณะ บีโอไอ แจง ซูเปอร์คลัสเตอร์ 23 พ.ย.

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ อีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นพื้นที่ที่ภาครัฐจะผลักดันให้การลงทุนเกิดขึ้นในลักษณะรวมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ซูเปอร์คลัสเตอร์ โดยในวันที่ 23 พฤศจิกายน นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ จะประกาศสิทธิประโยชน์ทางภาษีในพื้นที่ซูเปอร์คลัสเตอร์ ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. มาแล้ว ให้ผู้ประกอบการรับทราบ ซึ่งจะสอดคล้องกับร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษซูเปอร์คลัสเตอร์ ทำให้เชื่อว่าอุตสาหกรรมไทยจะเติบโตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 

นอกจากนี้ นายสมคิด กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตรา 44 มาเร่งรัดการลงทุน เพราะขณะนี้ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างจัดรายละเอียดเร่งรัดในการลงทุน เป็นการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ พีพีพี โดยจะย่นระยะเวลาในการลงทุนให้เร็วขึ้น จากเดิมการเริ่มต้นลงทุนแต่ละโครงการใช้เวลานาน ประมาณ 2 ปี พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอแพ็กเกจการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งรายใหม่ และรายเก่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับผู้ประกอบการทุกกลุ่มที่ลงทุนภายใน 6 เดือน หลังจากนี้ เพื่อให้เกิดการลงทุนและสร้างธุรกิจใหม่มากขึ้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน นี้

นายสมคิด ยังเปิดเผยภายหลังลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อสอบถามความคิดเห็นผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่ลงทุนอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหา และสนับสุนนการดำเนินธุรกิจให้การลงทุนสะดวกมากขึ้น ว่า จากการรับฟังผู้ประกอบการในนิคม พบว่า การขนส่งสินค้าต่าง ๆ ยังมีปัญหาการจราจรที่ติดขัดมาก เนื่องจากมีการก่อสร้างปรับปรุงถนนหมายเลข 7 ของกรมทางหลวง และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่จะแล้วเสร็จในต้นปี 2559 ซึ่งระหว่างนี้จะประสานผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กรมทางหลวง และเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดระเบียบจราจรเพื่อผ่อนคลายให้ระบบการขนส่งสินค้าคล่องตัวขึ้น รวมถึงความชัดเจนในการต่ออายุสัญญาเช่าพื้นที่ 780 ไร่ จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่จะหมดอายุสัญญาในปี 2561 ซึ่งจากนี้จะหารือถึงความชัดเจนกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน 

นอกจากนี้ ต้องการให้เร่งผลักดันโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่เส้นทางเชียงของ-หนองคาย เชื่อมต่อถึงท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมทั้งพัฒนาด่านศุลกากร ในการตรวจสินค้าผ่านแดน ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook