ออมสินอนุมัติสินเชื่อกองทุนหมู่บ้านฯ แล้ว 8,400 ล้านบาท
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้านวันที่ 14 กันยายน 2558 จำนวน 8,441 กองทุน วงเงิน 8,441 ล้านบาท จากเป้าหมาย 30,000 กองทุน วงเงิน 30,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นเดือนกันยายนจะสามารถอนุมัติรวม 15,000 กองทุน โดยจะทยอยจัดประชุมซักซ้อมความเข้าใจนแต่ละภูมิภาคเป็นรายเดือนพร้อมเปิดให้สมัครยื่นคำขอกู้เงินควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศประสบความสำเร็จโดยเร็ว
สำหรับหลักการกองทุนหมู่บ้าน 8,441 แห่ง ที่ธนาคารออมสินอนุมัติสินเชื่อแล้วสามารถติดต่อสาขาในพื้นที่ได้ทันที ซึ่งธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้กับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และให้ สทบ. ส่งรายชื่อแต่ละกองทุนหมู่บ้านเพื่อให้ธนาคารออมสินโอนเงินโดยตรง
สำหรับกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว สทบ.เน้นไปที่ 59,850 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนเกรด A จำนวน 21,000 กองทุน และเกรด B อีก 38,000 กองทุน วัตถุประสงค์หลักการใช้สินเชื่อเน้นส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้ทั้งลักษณะรายบุคคล และรายกลุ่ม เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงแต่ละพื้นที่ คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หมู่บ้านละ 50 คน รายละ 20,000 บาท จะสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยประมาณ 1.5 ล้านคน
ด้านภาพรวมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนช่วงระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม 2558 ธนาคารฯ อนุมัติสินเชื่อไปแล้วกว่า 200,000 ราย คิดเป็นเงิน 19,534.63 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อคงเหลือวันที่ 31 สิงหาคม 2558 อยู่ที่ 970,412 ราย คิดเป็นเงิน 68,205 ล้านบาท โดยตลอด 14 ปีที่ผ่านมาโครงการนี้สามารถทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับเงินกู้ เพื่อไปประกอบอาชีพหารายได้เพิ่มแล้วถึง 4,130,760 ราย คิดเป็นเม็ดเงินจำนวน 235,722 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าธนาคารออมสินที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ภาระหนี้ครัวเรือน และภัยธรรมชาติ ด้วยการพักชำระเงินต้น สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งเปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 1 เมษายน – 31 กรกฎาคม 2558 ปรากฏว่า มีลูกค้าสนใจลงทะเบียน 94,359 ราย คิดเป็นเงิน 43,963 ล้านบาท ซึ่งธนาคารฯ ทยอยอนุมัติไปแล้วรวม 30,471 ราย คิดเป็นเงิน 14,503 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย
