หนีกรุงทิ้งเงินเดือนประจำ มาทำการเกษตร รับรายได้งาม 20,000บาท/เดือน ที่ชัยภูมิ

หนีกรุงทิ้งเงินเดือนประจำ มาทำการเกษตร รับรายได้งาม 20,000บาท/เดือน ที่ชัยภูมิ

หนีกรุงทิ้งเงินเดือนประจำ มาทำการเกษตร รับรายได้งาม 20,000บาท/เดือน ที่ชัยภูมิ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากพนักงานกินเงินเดือนอาชีพเย็บผ้า ที่มีรายได้กว่าหมื่นบาท/เดือน แต่เพราะตนเองนั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจากโรคประจำตัว ‘อนงค์ บุญจิต’ จึงได้พลิกผันตัวเองออกจากงานประจำในเมืองหลวง มุ่งสู่บ้านเกิด บ้านทรัพย์รวงไทร ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ โดยหวังสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ พอเลี้ยงตนเองในแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการทำเกษตรกรรม ด้วยยึดในหลัก “ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก”

เพียงเพราะไม่ต้องการอยู่อย่างว่างงาน แต่แล้วการผันตัวเองมาทำอาชีพเกษตรกรรมกลับเป็นอาชีพใหม่ของเธอที่สร้างรายได้เลี้ยงตนเองได้เสมือนกับทำเงินเดือนจากเริ่มต้นจนปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ20,000บาท แถมสุขภาพก็ดีขึ้นจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติในแบบไร่นาสวนผสมที่เธอก่อร่างสร้างมันขึ้นมากับมือ


คุณอนงค์บุญจิต เกษตรกรหญิงมือใหม่ที่ไม่ย่อท้อต่ออาชีพเกษตรกรรม เล่าถึงที่มาที่ไปของการความสำเร็จแบบพอเพียงในการทำไร่นาสวนผสมให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่ตนจะหันมาจับอาชีพเกษตรกรรมอย่างจริงจัง ตนทำงานอยู่ในตัวเมืองชัยภูมิในอาชีพเย็บผ้า ซึ่งขณะนั้นก็มีรายได้หลักหมื่นบาท/เดือน แต่ด้วยตนเองเป็นมีประจำตัวจึงทำให้สุขภาพไม่ดี เหนื่อยง่าย แม้ว่าตนจะเป็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอก็ตาม ทั้งเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดสารพิษ ออกกำลังกาย แต่ก็ช่วยแค่พอทุเลาและทำงานได้ไปวันๆ ด้วยสาเหตุตรงนี้ครอบครัวและสามีจึงให้ลาออกจากงานมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน


ซึ่งการกลับมาพักฟื้นอยู่บ้านตนก็ไม่อยากจะอยู่เฉยๆจึงมองอาชีพใหม่นั่นก็คือการทำเกษตรกรรม ซึ่งตนมองว่าแม้จะเป็นอาชีพที่ดูแล้วน่าจะเหนื่อยไม่แพ้อาชีพอื่นอย่างแน่นอน แต่ตนก็เลือกที่จะลองทำดู ด้วยเหตุผลที่ว่าตนอยากบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ สารเคมีตกค้าง หากตนได้ปลูกพืชอาหารไว้รับประทานเองก็น่าจะช่วยให้สุขภาพของตนดีขึ้นอย่างแน่นอน ตนจึงขอพื้นที่ของคุณตา ซึ่งเป็นพื้นที่นา และพื้นที่สวนมะม่วงที่ถูกปลูกไว้ให้เทวดาเลี้ยงมาเป็นเวลานาน จำนวน 5 ไร่ เพื่อลองทำไร่นาสวนผสมตามแบบอย่างของในหลวง


หลังจากได้พื้นที่มาก็เริ่มปรับพื้นที่ในส่วนของที่นาเก่าให้เป็นสวนผสมโดยเริ่มจากปลูกกล้วยและปรับปรุงบำรุงดินไปพร้อมๆกัน พอดินเริ่มดีขึ้นเราก็นำพืชอาหารทุกอย่างไปปลูกไว้ ซึ่งตนนั้นได้เลือกพืชอาหารที่ตนชอบรับประทานและพืชผักสวนครัวที่จำเป็นต้องรับประทานเป็นประจำมาปลูกไว้ จากนั้นก็ขุดสระน้ำไว้สำหรับใช้ในสวน พร้อมทั้งเลี้ยงปลาเบญจพรรณหลากชนิด และเลี้ยงไก่ไข่ไว้สร้างรายได้อีกส่วนหนึ่ง ในส่วนของสวนมะม่วงตนก็ตัดแต่งกิ่งและทำสาวใหม่ให้กับมะม่วง และดูแลบริหารจัดการในแบบปลอดสารพิษ เน้นการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง


คุณอนงค์ บอกว่า ปัจจุบันในพื้นที่ 5 ไร่ตรงนี้ ประกอบด้วยมะม่วง 100 กว่าต้น มีสวนแก้วมังกร ผักหวานป่า กล้วย มะนาว โหรพา ต้นชะพลูฯ มีไก่ไข่ 60 ตัว และบ่อปลา โดยในส่วนของผลผลิตผักส่วนมากจะมีแม่ค้ามาเก็บถึงสวน หากมีจำนวนมากเหลือพอก็นำไปขายในตลาดของหมู่บ้านพร้อมกับไข่ไก่ และปลา และจากผลผลิตทั้งหมดทำให้มีรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ยังไม่หักต้นทุน แต่มีต้นทุนในการผลิตที่น้อยมาก

แต่นอกจากรายได้จากการขายผลผลิตในสวน 5 ไร่ แล้ว ตนยังมีรายได้รายปีจากพื้นที่ปลูกอ้อยอีก 20 ไร่ และมันสำปะหลังอีก 12 ไร่ ซึ่งก็ทำให้นอกจากจะมีรายได้เฉลี่ยตลอดทั้งปีแล้ว ยังมีรายได้รายปีไว้เป็นเงินเก็บออมอีกด้วย


คุณอนงค์ บอกอีกว่า “เหตุผลที่ตนเลือกที่จะปลูกในสิ่งที่ตนเองกิน นอกจากจะได้ความสดใหม่และไม่มีสารเคมีตกค้าง เพราะเราเลือกที่จะทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติพึ่งพาธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งยังช่วยลดรายในครอบครัวของตนลงไปได้เป็นอย่างมาก แถมสุขภาพที่เคยแย่ทำงานหนักก็เหนื่อย ก็กลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาพรวมสิ่งที่ได้จากอาชีพนี้ก็คือความสุขกาย สุขใจ กับอาชีพของตนเอง จากที่เริ่มทำเกษตรกรรมโดยยึดหลัก “ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก” มาขณะนี้เราก็เริ่มมองเรื่องการค้าแล้วว่าตลาดมีความต้องการอะไร เราก็นำสิ่งนั้นมาปลูกเสริมเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวในระยะยาวต่อไป”


คุณอนงค์ เล่าต่อว่า การทำไร่นาสวนผสมผสานของเธอปีนี้เป็นปี 4 โดยตนนั้นเริ่มมีรายได้จากสิ่งที่ปลูกตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่มากนัก จนกระทั่งปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเต็มพื้นที่ แต่กว่าที่ตนจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ในครั้งแรกที่ตนตัดสินใจจะทำสวนนั้นก็ถูกคัดค้านจากคนในครอบครัวและสามีอยู่พอสมควร เพราะเขาเห็นว่าตนนั้นป่วยคงไม่มีแรงที่จะทำตรงนี้อย่างจริงจัง และเขาก็ไม่คาดหวังด้วยว่าเราจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้

แต่ด้วยความดื้อรั้นและรู้ตนเองว่าหากเราได้มีโอกาสใช้ธรรมชาติเยียวยาชีวิตของเรา โรคภัยต่างๆ ก็จะทุเลาลงได้จริง จากอาหารการกินที่ปลอดสารพิษ สารเคมีตกค้าง จึงทำให้ชีวิตในวันนี้ของตนมีสุขาภาพที่ดีขึ้นมาก ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าตื่นเช้าจะเข้าสวนเก็บผลผลิต ดูแล รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์เช่นนี้ทุกวันก็ตาม


“และแม้ว่าความสำเร็จจะแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเวลาแต่สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับชีวิตอย่างยั่งยืน แต่ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง ปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานยังสถานที่ต่างๆ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้นเป็นหน่วยงานที่เข้ามาให้ความรู้และสนับสนุนเงินทุนในการขุดสระน้ำ พร้อมกับพาไปดูงานสถานที่ประสบความสำเร็จ ตนจึงได้มาปรับใช้ให้เข้ากับรูปแบบของตนและบริหารจัดการสวนอย่างเป็นระบบ จนประสบความสำเร็จในรูปแบบพอเพียง ที่จะช่วยทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง”


จากความสำเร็จของหญิงแกร่งแห่งบ้านทรัพย์รวงไทร ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ของ ‘อนงค์ บุญจิต’ ที่กล้าจะคิดจะทำอย่างมั่นใจ ทำให้วันนี้พื้นที่ 5 ไร่ของเธอ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นตัวอย่างให้อีกหลายๆ คนได้นำไปปฏิบัติได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการเดินทางมาศึกษาดูงานสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-7256-9938

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook