10 เมืองสุดยอด SMART CITY ในโลก

10 เมืองสุดยอด SMART CITY ในโลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รูปแบบการบริหารจัดเมืองแบบ SMART CITY เป็นการสร้างเมืองที่จะมีการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นการจัดสมดุลของสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และเลือกใช้พลังงานสะอาด

มหานครต่าง ๆ ในโลกที่นิตยสาร FAST COMPANY ยกย่องให้เป็น 10 เมืองสุดยอดของการบริหารจัดการแบบ SMART CITY มีหลักเกณฑ์สำคัญของการจัดลำดับ กล่าวคือ 1.ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ในประเทศสามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.มีบริการต่าง ๆ ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และ 3.ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ

โดย 10 เมืองสุดยอด Smart City ในโลก เรียงลำดับตั้งแต่อันดับที่ 10 ไปจนถึงอันดับที่ 1 ดังนี้

อันดับ 10 บาร์เซโลนา ประเทศสเปน

เมืองบาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าและเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศสเปน เป็นเมืองที่ริเริ่มเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยได้บูรณาการการวางผังเมือง นิเวศวิทยา และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเชื่อมต่อประชาชนในเมืองได้อย่างทั่วถึง ที่สำคัญยังเป็นเมืองแรกของโลกที่ออกกฎหมายมาสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ได้แก่ Solar Thermal Ordinance มาเป็นเวลานับทศวรรษ เป็นการกระตุ้นให้ตึกรามบ้านช่องในเมืองหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) แทนการใช้พลังงานเชื้อเพลิง (Fuel)

 

อันดับ 9 ฮ่องกง ประเทศจีน

ฮ่องกงกำลังจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างเมืองให้ฉลาดขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นด้วยการสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งด้านสุขภาพอนามัย การใช้พลังงานสีเขียว และการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันฮ่องกงมีการใช้เทคโนโลยี RFID (Radio-frequency Identification) คือ การเก็บข้อมูลหรือระบุข้อมูลแบบอัตโนมัติ รับสัญญาณจากแท็กเข้าสู่ตัวสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุขนาดเล็ก โดยสามารถบันทึกข้อมูลในแท็กมาใช้ในสนามบิน นอกจากนี้ยังกำหนดให้ประชาชนใช้ สมาร์ทการ์ด ในการชำระค่าบริการขนส่งสาธารณะ การผ่านเข้าออกสถานที่ต่าง ๆ และลานจอดรถ

อันดับ 8 โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

กรุงโคเปนเฮเกน เป็นเมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย แต่สิ่งที่ทั่วโลกรู้จักและเป็นที่ยอมรับ คือการเป็นเมืองที่ประชาชนใช้จักรยานกันอย่างแพร่หลาย มีเครือข่ายการแลกเปลี่ยนจักรยาน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนาและใช้นวัตกรรมสีเขียว มีการใช้ระบบอัจฉริยะในการควบคุมไฟบนท้องถนน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในที่สาธารณะ เป็นต้น นอกจากนี้ โคเปนเฮเกนยังได้ทำพันธสัญญาที่จะสร้างแนวคิด คาร์บอนสมดุล คือ ภาวะที่ผลลัพธ์ของการกระทำโดยรวมไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนสุทธิ (Net Carbon) ขึ้นในชั้นบรรยากาศ และรณรงค์ให้ประชากรใช้จักรยานในการเดินทางร้อยละ 40 ภายใน พ.ศ. 2568

อันดับ 7 เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เป็นเมืองที่มีการใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการทดลองรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยการวางเครือข่ายสถานีเติมไฟ หรือ V2G (Vehicle-to-Grid) ในเมือง เป็นการสนับสนุนให้ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

อันดับ 6 โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

กรุงโตเกียว เป็นเมืองที่เป็นผู้นำในโลกดิจิทัลและนวัตกรรมต่าง ๆ และเมื่อไม่นานมานี้ยังได้สร้าง เมืองอัจฉริยะ ขึ้นบริเวณชานเมืองที่ประกอบไปด้วยบ้านที่มีแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และพลังงานที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) นอกจากนี้ บริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นอย่าง นิสสัน ยังเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าตัวแรก คือ นิสสัน ลีฟ (NISSAN LEAF) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาด้านพลังงานและลดมลพิษในอากาศอีกด้วย

อันดับ 5 ลอนดอน สหราชอาณาจักร

กรุงลอนดอน เป็นเมืองหนึ่งที่มีนวัตกรรมสีเขียวมากมาย ที่โดดเด่นและเป็นที่น่าจับตามอง คือ การเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนในเขตการจราจรหนาแน่น อย่างในใจกลางกรุงลอนดอน ในเวลา 07.00 น.-18.00 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ วันปีใหม่ และวันคริสต์มาส ซึ่งช่วยลดการจราจรในเมือง และเป็นการส่งเสริมการขนส่งสาธารณะในเมือง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการสร้าง/ปรับปรุงบ้านเพื่อเข้าสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ

อันดับ 4 นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

นครนิวยอร์ก กำลังเร่งพัฒนาเมืองให้ก้าวเป็น ศูนย์กลางทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านการสื่อสาร ซึ่งในปัจจุบันได้มีการสร้างรูปแบบให้ประชาชนในเมืองมีส่วนร่วม (Interactive Platform) โดยการติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลข่าวสารในที่ต่าง ๆ แทนที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว และนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เมืองมีความปลอดภัยและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เครื่องมืออัจฉริยะ ระบบเซ็นเซอร์ ซอฟต์แวร์ ที่สามารถเฝ้าติดตามและพัฒนาการจราจร และปกป้องโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

อันดับ 3 ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

นอกจากจะเป็นมหานครแห่งแฟชั่นแล้ว กรุงปารีสยังเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีความโดดเด่น ทั้งด้านนวัตกรรม การเป็นเมืองสีเขียว และมีการบริหารจัดการด้วยระบบดิจิทัล ที่สำคัญยังเป็นเมืองที่ประสบความสำเร็จเรื่องจักรยานสาธารณะ หรือ Velib และยังมีการเปิดตัวรถไฟฟ้าสาธารณะขนาดเล็ก (EVs) หรือ Autolib เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในเมืองอีกด้วย

อันดับ 2 โทรอนโต ประเทศแคนาดา

เมืองโทรอนโต เป็นสมาชิกของกลุ่ม C40 (Clinton 40) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำการรณรงค์ด้านสภาวะอากาศในเมืองใหญ่ 40 เมืองทั่วโลก เพื่อร่วมหาแนวทางในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้หน่วยงานภาคเอกชนในเมืองโทรอนโตยังร่วมในการสร้าง Smart Commute Toronto เพื่อช่วยกันลดปัญหาการจราจรและมลพิษในเมือง ด้วยการสนับสนุนการใช้จักรยาน และอำนวยความสะดวกข้อมูล เช่น เครือข่ายผู้ใช้รถจักรยาน การซ่อมบำรุงและพื้นที่การจอด นอกจากนี้ เมืองโทรอนโตยังมีการใช้ก๊าซธรรมชาติจากหลุมฝังกลบมาเป็นพลังงานให้กับรถบรรทุกขยะในเมือง

อันดับ 1 เวียนนา ประเทศออสเตรีย

กรุงเวียนนา เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย ในฐานะสุดยอดเมืองอัจฉริยะอันดับ 1 ของโลก เวียนนาอุดมไปด้วยนวัตกรรม มีเขตเมืองสีเขียวที่ถูกตั้งเป้าหมายให้ได้มากที่สุด มีการใช้พลังงานทดแทนถึง 14% มีโรงงานผลิตพลังงานชีวภาพใหญ่ที่สุดในยุโรป และมีเป้าหมายที่จะติดตั้ง แผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panels) ให้ได้ 300,000 ตารางเมตรในปี 2020 ซึ่งจะให้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมาก ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีการบริหารจัดการแบบดิจิทัล นอกจากนี้ ยังได้วางวิสัยทัศน์และโครงการต่าง ๆ มากมาย เพื่อก้าวสู่การเป็น Smart City เต็มรูปแบบ ทั้งการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การขนส่ง และการวางแผนการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน

SMART CITY เป็นไปได้จริง หากทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันสร้างเมืองที่อยู่สบาย ใช้สะดวก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

คอลัมน์ เปิดมุมมอง โดย ดรรชนี คงศิริวัฒนา TEAM GROUP

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook