มหาเศรษฐีอาเซียน นักธุรกิจ "มาเลย์" ขึ้นแท่นท็อปทรี

มหาเศรษฐีอาเซียน นักธุรกิจ "มาเลย์" ขึ้นแท่นท็อปทรี

มหาเศรษฐีอาเซียน นักธุรกิจ "มาเลย์" ขึ้นแท่นท็อปทรี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"มาเลเซีย" กลายเป็นชาติที่มีความเจริญระดับแถวหน้าของ "อาเซียน" เริ่มมีการพัฒนาให้เติบโตแบบก้าวกระโดด มีนักธุรกิจที่เป็น "อภิมหาเศรษฐี" ติดโผรายชื่อ "ท็อปเทน" มากที่สุดในประชาคมอาเซียนด้วย

จากข้อมูลการจัดอันดับของ "ฟอร์บส์" นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินอันเก่าแก่ของสหรัฐนั้น ปรากฏว่า เป็นเศรษฐีชาวมาเลเซียมีมากที่สุดถึง 5 ราย รองลงมาคือ ไทย และอินโดนีเซีย ที่มีมหาเศรษฐีติดโผชาติละ 2 ราย ส่วนฟิลิปปินส์มีอีก 1 ราย 

ทั้งนี้ ไม่พบว่ามีเศรษฐีกระเป๋าหนักจากบรูไน, สิงคโปร์, พม่า, เวียดนาม, ลาว และกัมพูชา ติดโผท็อปเทนแม้แต่รายเดียว จึงขอไล่เรียงประวัติที่น่าสนใจของ "ยักษ์ใหญ่" 3 อันดับแรกในมาเลเซีย 

เริ่มต้นด้วย "อภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่ง" แห่งมาเลเซีย ยังคงเป็น "โรเบิร์ต ก๊วก" อายุ 91 ปี มีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 14,700 ล้านดอลลาร์ (ราวประมาณ 455,700 ล้านบาท) 

ปัจจุบันมีถิ่นพำนักหลักอยู่ในฮ่องกง ถูกยกให้เป็นผู้ที่ร่ำรวยเป็นลำดับที่ 61 ของโลก วิถีการเริ่มต้นเส้นทางการเป็นมหาเศรษฐี เนิ่มจากธุรกิจการค้าน้ำตาลและน้ำมันปาล์มก่อนจะขยายธุรกิจไปสู่ภาคการขนส่งสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเป็นเจ้าของบริษัทประเภทโฮลดิ้งอย่างน้อย 3 แห่ง ในมาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง ทั้งยังเป็นผู้ครอบครองกิจการของ "South China Morning Post" หนังสือพิมพ์รายวันที่ครั้งหนึ่งเคยมีกำไรสูงที่สุดของวงการสื่อสิ่งพิมพ์โลกมาแล้ว

นายก๊วกเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท ก๊วก บราเดอร์ส กับพี่ชายสองคน ตั้งแต่ปี 2492 ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันได้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่หลากหลายและแผ่ขยายคลุมเอเชียอาคเนย์และมีเครือข่ายทั่วโลกภายใต้ชื่อของ "ก๊วกกรุ๊ป"

ก๊วกกรุ๊ป เป็นธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เดินเรือ และขนส่ง เกี่ยวกับอาหาร โรงแรม และพัฒนาที่ดิน รวมถึงธุรกิจสื่อมวลชน มีบริษัทหลักๆ ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน โดยกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของก๊วกกรุ๊ป ค้าขายสินค้าพืชไร่ แป้ง น้ำมันพืชเป็นผู้ค้าน้ำตาลใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ซึ่งมีบริษัทหลักคือ บริษัทเคอรี่ ฟูดสตัฟ ที่ฮ่องกง และก๊วกออยส์แอนด์เกรนส์ ที่สิงคโปร์ 

นอกจากนี้ ก๊วกกรุ๊ป ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของวิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Wilmar International) บริษัทอุตสาหกรรมเกษตรรายใหญ่ของโลก เป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่มีกำลังการผลิตและเครือข่ายการกลั่นและจำหน่ายใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูงที่สุดในตลาดหุ้นสิงคโปร์ 

ต่อมาคือ "อนันดา กริชนัน" มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของมาเลเซีย วัย 74 ปี มีสินทรัพย์สุทธิราว 9,900 ล้านดอลลาร์ (306,900 ล้านบาท) 

กริชนัน มีพ่อแม่เป็นชาวทมิฬที่อพยพมาจากประเทศศรีลังกา ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการมากมาย หลักๆ คือ บริษัท Maxis Bhd , บริษัท Astro Holdings Sdn Bhd , บริษัท Tanjong Plc , บริษัท MEASAT Global Bhd , บริษัท Excorp N.V. , บริษัท PanOcean Management , บริษัท Pacific States Investments และบริษัท Pan Pools Malaysia

สำหรับบริษัท "Maxis Bhd" เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรคมนาคมในมาเลเซีย เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์รายใหญ่ที่มีลูกค้ากว่า 14 ล้านหมายเลข 

ส่วน "Astro Holdings" ทำธุรกิจทางด้านคอนเทนต์ ทั้งการสร้างภาพยนตร์ รายการทีวี พิมพ์นิตยสาร มีสถานีวิทยุ เจ้าของเคเบิลทีวีใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ด้านบริษัท "Tanjong Plc" เป็นเครือข่ายโรงหนังและอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการนันทนาการ และยังมีรีสอร์ตที่เป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีด้วย 

บริษัท "MEASAT Global Bhd" ของเขา ทำธุรกิจโทรคมนาคม เป็นเจ้าของดาวเทียม 4 ดวง ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียม 145 ประเทศ ตั้งแต่ในเอเชียไปจนถึงแอฟริกา 

มีรายงานด้วยว่า นายกริชนันเป็นเจ้าของกิจการเดินเรือ น้ำมัน การพนัน และมีหุ้นในบริษัทสร้างหนังทีวีของฮ่องกง ทั้ง ทีวีบี และ ชอว์ บราเดอร์

กริชนัน เป็นนักธุรกิจที่เก็บตัวเงียบ ไม่ชอบเป็นข่าว ไม่ชอบงานสังคม จึงทำให้บุคคลอื่นรู้จักชีวิตส่วนตัวของเขาน้อยมาก แม้ว่าจะเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง แต่กลับไม่มีตำแหน่งบริหารในบริษัทของตัวเองแม้แต่น้อย รวมถึงไม่เคยเข้าร่วมประชุมของบริษัททั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะบริหารงานผ่านมืออาชีพที่สามารถไว้ใจได้ ดังนั้น พฤติกรรมการบริหารงานของเขาที่แปลกกว่าบุคคลท่านอื่น จึงทำให้เขาถูกขนานนามว่าเป็น "เศรษฐีผู้ลึกลับ" 

ตามมาด้วย "ลี ชิน เชง" มหาเศรษฐีวัย 72 ปี เขาสามารถไต่ลำดับผู้มั่งคั่งของมาเลเซีย จากอันดับที่ 5 มาสู่อันดับ 3 และติดอันดับที่ 208 ของโลก ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินเป็นมูลค่ารวมกันราว 5,000 ล้านดอลลาร์

ลี ชิน เชง เป็นนักสู้ชีวิตตัวยง ในวัยเด็กเขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี เพื่อออกมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวที่มีฐานะไม่สู้ดี เขาเคยลำบากถึงขั้นต้องตระเวนปั่นจักรยานขายไอศกรีมนานกว่า 4 ปี ก่อนที่จะมีโอกาสได้กลับมาศึกษาต่ออีกครั้งในภายหลัง จนทำให้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา

เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัท "IOI Group" หนึ่งในผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของมาเลเซียเช่นกัน 

ล่าสุด "ฟอร์บส์" รายงานเพิ่มเติมว่า นายเชงมีการขยายธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเมื่อเดือนมกราคมในปีนี้ แต่ไม่ระบุรายละเอียดที่ชัดเจน 

ปัจจุบัน IOI Group เป็นซัพพลายเออร์จำหน่ายน้ำมันปาล์มให้กับบริษัท Wyeth และบริษัท Kraft Food ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ติดอยู่ใน 500 อันดับบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก 

เป้าหมายต่อไปของ IOI Group คือต้องการจะเป็นซัพพลายเออร์ให้กับธุรกิจเครือข่ายสนับสนุนของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวด้วย 

นอกเหนือจากนี้ IOI Group เคยลงนามเซ็นสัญญากับเมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีนเพื่อดำเนินโครงการก่อตั้งฐานการแปรรูปน้ำมันปาล์มที่เซี่ยเหมินอย่างเป็นทางการ และจะถือให้เป็นศูนย์การวิจัย ศูนย์โลจิสติกส์ และสำนักงานใหญ่ ในการจำหน่ายน้ำมันปาล์มในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีนอีกด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook