'ครูอ๋อ-ศศิวิมล อนุเศรษฐพงศ์'ติวเตอร์เดลิเวอรี่

'ครูอ๋อ-ศศิวิมล อนุเศรษฐพงศ์'ติวเตอร์เดลิเวอรี่

'ครูอ๋อ-ศศิวิมล อนุเศรษฐพงศ์'ติวเตอร์เดลิเวอรี่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ใกล้เปิดเสรีทางการค้าหรือเออีซีเข้ามาทุกที การเตรียมตัวของภาคธุรกิจในเรื่องของภาษาถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะได้สื่อสารกับคู่ค้าจากต่างประเทศได้อย่างราบรื่นและมีความเข้าใจถูกต้องตรงกัน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอี การที่เจ้าของธุรกิจ รวมถึงพนักงานหากสามารถสื่อสารด้วยภาษากลางอย่างภาษาอังกฤษได้ด้วยจะยิ่งทำให้มีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาอย่างหนึ่งในการที่จะส่งคนไปเรียนยังที่ตั้งของสถาบันสอนภาษาเป็นเรื่องยาก ไหนจะเรื่องของการเดินทางเป็นจำนวนมาก

จากช่องว่างดังกล่าว นางสาวศศิวิมล อนุเศรษฐพงศ์ หรือ ครูอ๋อ เห็นเป็นช่องว่างในการทำธุรกิจติวเตอร์สอนภาษาแบบเดลิเวอรี่ "ปัจจุบันอ๋อทำงานเป็นวิทยากรสอนภาษาอังกฤษของกลุ่มบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด 13 บริษัท พนักงานประมาณ 5,500 คน"

"ครูอ๋อ" เล่าว่า เธอจบการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคณะที่เรียนจบมาเพื่อเป็นครูอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสเธอจึงเลือกที่จะทำงานในองค์กรที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตามที่ตัวเองได้เรียนมา

"ทำงานที่บริษัทแห่งนี้ได้พักหนึ่งก็ไปเห็นกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ต้องการครูสอนภาษาไปสอนภาษาให้กับแรงงานฝีมือ ก็ไปลองสอบดูก็ได้เป็นครูสอนภาษาเป็นครั้งแรก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่อ๋อทำธุรกิจสอนภาษาแบบเคลื่อนที่ คือเมื่อสอนที่แรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มีประวัติการสอนเพิ่มขึ้นมา แล้วองค์กรอื่นก็ติดต่อมาให้เราไปสอนที่บริษัทของเขาบ้าง ก็เลยทำเป็นธุรกิจเล็กๆ หารายได้เพิ่มเติมนอกเหนือจากงานประจำที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็ยังอยู่ในทิศทางเดียวกัน ก็คือเป็นวิทยากรสอนภาษา"

ข้อแตกต่างอย่างแรกที่ต่างไปจากวิทยากรในสถาบันสอนภาษาอื่นๆ ครูอ๋อ บอกว่า สิ่งแรกคือ การเรียนการสอนจะเกิดขึ้นที่องค์กรซึ่งว่าจ้างให้ไปสอนนั่นเอง ดังนั้น จึงตัดปัญหาเรื่องพนักงานที่องค์กรส่งเสริมให้เรียนจะไปไม่ทันเป็นบางคน อีกทั้งผู้บริหารองค์กรสามารถกำหนดขอบเขตการเรียนการสอนได้ว่าอยากให้เน้นในด้านใดเป็นพิเศษ อาทิ เน้นการสนทนาโต้ตอบในเรื่องการขายสินค้า บางองค์กรต้องการเน้นศัพท์เฉพาะทาง

"การรับงานก็จะรับสอนระหว่างช่วง 6 โมงเย็นไปจนถึง 2 ทุ่ม และวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งไม่กระทบเวลาทำงานประจำของตัวเอง และเป็นช่วงเวลาที่องค์กรผู้ว่าจ้างเลิกงานแล้ว และพนักงานก็สามารถเรียนที่ทำงานของตัวเองได้เลย โดยไม่เสียเวลาเดินทางไปยังที่เรียน และการสอนก็จะสอนรวมแล้ว 30 ชั่วโมง ซึ่งจะเรียนได้ไม่เกิน 25 คน ก็จะคิดราคาเท่ากัน ไม่ว่าจะเรียน 5 คน หรือว่าเรียน 25 คนก็จะคิดราคาเดียวกัน"

การสร้างฐานลูกค้านั้น ครูอ๋อบอกว่า ในปัจจุบันยังอาศัยการบอกต่อกันอยู่ ซึ่งได้ผลพอสมควร หลังจากได้เป็นครูสอนภาษาของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานแล้ว ก็ได้งานจากบริษัทเอกชนอื่นๆ ต่อมาเรื่อยๆ

"ถือว่ายังอยู่ในช่วงก้าวแรกอยู่เลย โดยมากพอเห็นหน้าครั้งแรกพี่ๆ พนักงานก็แบบ เนี่ยนะจะมาสอน เราก็ต้องแนะนำตัวเองก่อนว่า จบอะไรมา ไปทำงานที่อเมริกามานานเท่าไหร่ เคยสอนที่ไหนบ้าง และชั่วโมงแรกก็ต้องจัดการเรียน การสอนแบบละลายพฤติกรรมก่อน ด้วยบุคลิกของตัวเองจะซนๆ จะให้อ๋อสอนแบบเคร่งเครียดคงไม่ได้ เวลาสอนก็จะเน้นกิจกรรมเป็นหลัก เพื่อให้พูดได้โดยมีหลักภาษาที่ถูกต้อง แล้วก็จะทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ตัวคนเรียนด้วย เพราะแต่ละคนพื้นฐานมาไม่เหมือนกัน เมื่อหมดชั่วโมงแรกก็จะแยกแยะออกว่าใครควรจะเพิ่มเติมทักษะอะไร ก็จะจัดให้เป็น กลุ่มๆ ไป แต่ว่าจะไม่ใช่กลุ่มเดิมทุกครั้ง เพื่อให้คนที่ไม่เก่งได้เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า และมีความกล้าที่จะพูด ที่จะถาม เขาก็จะเก่งขึ้นได้ ซึ่งหลักสูตรที่สอนของแต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าผู้บริหารเน้นอะไร ก็จะร่างหลักสูตรขึ้นมา แล้วคุยกับผู้บริหารองค์กรนั้น ว่าเราจะสอนอย่างนี้ๆ ตกลงไหม หรืออยากจะให้เพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษก็บอกมา ก็จะปรับหลักสูตรให้ตามต้องการ"

เมื่อถามถึงความฝันในอนาคต ครูอ๋อ ตอบแบบไม่ลังเลว่า ต่อไปก็อยากจะมีสถาบันสอนอยู่กับที่เหมือนกัน แต่ในช่วงเวลานี้ ยังไม่กล้าคิดว่าจะไปถึงได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

"ก็เป็นความฝันอย่างหนึ่งที่อยากจะมีสถาบันสอนภาษาเป็นของตัวเองเลย แต่มองแล้วการแข่งขันสูง ในขณะที่การสอนแบบเดลิเวอรี่นี้ ยังมีโอกาสเปิดกว้างอยู่ก็อยากจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน ให้คนบอกต่อกัน เราก็ได้งานเพิ่ม ได้รายได้เพิ่ม และอยากได้ยินว่าอ๋อเป็นครูที่เก่งและสวยมาก่อน ที่จะได้ยินว่าครูอ๋อสวยและเก่ง"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook