SIAM 1928 ชวน 4 สุดยอดนักปรุงน้ำหอมไทยรังสรรค์คอลเล็กชันพิเศษ
Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
//s.isanook.com/me/0/ud/18/90521/j.jpgSIAM 1928 ชวน 4 สุดยอดนักปรุงน้ำหอมไทยรังสรรค์คอลเล็กชันพิเศษ

SIAM 1928 ชวน 4 สุดยอดนักปรุงน้ำหอมไทยรังสรรค์คอลเล็กชันพิเศษ

แชร์เรื่องนี้

SIAM 1928 ชูอัตลักษณ์นวัตกรรมน้ำหอมหนึ่งเดียวในโลก Collab 4 แบรนด์ดัง Iconic perfumer แถวหน้าของเมืองไทย เปิดตัวคอลเล็กชัน “จตุมหาราชิกา” (Catumaharajika) Luxury Niche ลิมิเต็ด เอดิชั่น บุกตลาดโลก

นายณัท เวชชศาสตร์  ผู้ก่อตั้งแบรนด์ SIAM1928 และ สุคนธกร หรือนักปรุงน้ำหอม (Perfumer)  ผู้สืบทอดสูตรน้ำอบปรุงเจ้าคุณ รุ่นที่ 4 เปิดเผยแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ภายใต้แบรนด์ SIAM1928 เปิดตัวน้ำหอมคอลเลคชั่นใหม่ ชุด จตุมหาราชิกา (Catumaharajika  Collection)  Limited Edition

ครั้งแรกของ แบรนด์ SIAM1928 โดย Collab กับ Iconic perfumer นักปรุงน้ำหอมแถวหน้าของเมืองไทย  4 แบรนด์ดัง Odyssey Skonx Perfumery Tada Perfumer และ Stranger Parfumerie ที่โด่งดังในกลุ่ม  Luxury Niche และได้รับการยอมรับในระดับสากลมาร่วมถ่ายทอดกลิ่นในแบบของตัวเอง คือ

กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศใต้ “ท้าววิรูฬหก” โดย คุณอนันต์สิทธิ์ วงศ์กรวณิชย์ จากแบรนด์ Odyssey

s__109862944_0

กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศตะวันออก “ท้าวธตรฐ” โดย คุณศรุจ ตั้งธราธร ผู้ก่อตั้ง Skonx Perfumery

s__109862946_0

กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศตะวันตก “ท้าววิรูปักษ์” โดย คุณธาดา อาชาวงศ์ จากแบรนด์ Tada Parfumeur

s__109862948_0

กลิ่นจตุมหาราชิกา ทิศเหนือ “ท้าวกุเวรหรือ ท้าวเวสสุวรรณ” โดย คุณปฤณ ลมรส จากแบรนด์ Stranger Parfumerie, PRINN, Parfum Prissana

 

“เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้ลงมือปรุงกลิ่นด้วยตัวเอง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบแนวคิด และ มอบหมายให้นักปรุงน้ำหอมชาวไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาร่วมถ่ายทอดกลิ่นในแบบของตนเอง ความพิเศษของคอลเลคชันนี้ อยู่ที่การจับคู่เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ทิศจากชั้นจาตุมหาราชิกาเข้ากับนักปรุงแต่ละคน โดยใช้คาแรกเตอร์ของเทพเป็นแรงบันดาลใจ

ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของกลิ่นที่ลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คอลเลกชันนี้จะวางจำหน่ายในรูปแบบ Limited Edition เพราะวัตถุดิบที่เลือกใช้เป็นวัตถุดิบหายาก มีจำนวนจำกัด และมีราคาสูง การผลิตจึงตั้งใจให้จำกัดจำนวน เพื่อรักษาคุณค่า ความเฉพาะตัว และความประณีตในทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์” นายณัท กล่าว และเพิ่มเติมว่า

 

จุดเด่นของคอลเลคชันนี้ อยู่ที่ แนวทางการสร้างสรรค์ที่เปิดพื้นที่ให้กลิ่นแต่ละกลิ่นเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบแนวคิดทางวัฒนธรรมไทย นักปรุงแต่ละคนไม่ได้รับเพียงโจทย์เชิงสัญลักษณ์ แต่ได้รับอิสระในการตีความผ่านประสบการณ์ส่วนตัว มุมมองทางศิลปะ และภาษากลิ่นที่ตนถนัด

จึงเกิดเป็นผลงานที่มีชีวิต มีมิติ และมีอารมณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน การเปิดตัวคอลเลคชันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนธุรกิจของ SIAM1928 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 70% เมื่อเทียบกับปี 2567

เรามั่นใจว่ายอดขายในปี 2568 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากที่ล่าสุดน้ำหอม “Mekha Aranya” (เมฆาอารัญ) น้ำปรุงไทยแบบร่วมสมัยเชื่อมโยงศาสตร์และผสมผสานความหลากหลายของวัฒนธรรมไทยผ่านกลิ่นน้ำหอม คว้ารางวัลระดับโลก The Winner ในสาขา Artisan จากเวที Art and Olfaction Awards 2025 จัดขึ้น ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

นับเป็นครั้งแรกที่ผลงานจากประเทศไทยสามารถคว้ารางวัลในหมวดหลักของเวทีระดับนานาชาติ  โดยในปีนี้ SIAM1928 เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลร่วมกับแบรนด์จากไต้หวัน ภายใต้ระบบ Blind Judging ที่กรรมการไม่ทราบชื่อผู้เข้าประกวด เพื่อความเป็นกลางและบริสุทธิ์ในการตัดสิน”

โดยนายณัท ได้กล่าวถึงรางวัลดังกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับการได้รับรางวัลในครั้งนี้นอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจให้กับคนไทยแล้ว ยังเป็นเครื่องการันตีว่า น้ำหอมสัญชาติไทย ได้รับการยอมรับในระดับเวทีโลก และสร้างความมั่นใจให้กับเราในการพัฒนาน้ำหอมในกลุ่มที่เป็น Artisan และ Niche ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก

batch_mm

จากรายงานล่าสุดของ Market Report World ระบุว่า ตลาดน้ำหอมประเภท Artisan และ Niche มีมูลค่าราว 2.74 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 และคาดว่าจะขยายตัวถึง 5.73 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2577 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดน้ำหอมโดยรวมที่เติบโตเฉลี่ยราว 5–6% โดยตลาดนี้มีอัตราการเติบโตสูงในกลุ่มประเทศเอเชีย ยุโรป ยุโรปตะวันออก และ สหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ในกลุ่มของ  Luxury Niche ซึ่งรวมถึงแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ชัดเจน งาน craft สูง และใช้วัตถุดิบพรีเมียม คาดว่ามีมูลค่าถึง 4.28 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 และคาดว่าจะเติบโตสู่ 11.5 พันล้านดอลลาร์

ภายในปี 2576 ที่อัตราการเติบโต 13.2% ต่อปี โดยปัจจุบันผู้นำตลาดในกลุ่ม Luxury Niche ที่เป็นแบรนด์หลัก ประกอบด้วย  Le Labo, Diptyque, Byredo, Creed และ Maison Francis Kurkdjian ถือเป็นผู้ครองส่วนแบ่งสำคัญ โดย Le Labo มีสัดส่วนราว 12.8% และ Diptyque อยู่ที่ประมาณ 11.3%

อย่างไรก็ตาม ตลาด Niche ยังคงเปิดกว้างสำหรับแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน มีวัฒนธรรมเฉพาะตัว และสามารถเล่าเรื่องได้ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นจุดที่ SIAM1928 มองว่าแบรนด์จากเอเชียและประเทศไทยมีศักยภาพมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าสินค้า” ณัท กล่าวสรุป