ปัญหาเท้าเหม็น และอาการคันจากเชื้อรา อย่าปล่อยให้ลุกลาม รีบแก้ไขก่อนเกินแก้

ปัญหาเท้าเหม็น และอาการคันจากเชื้อรา อย่าปล่อยให้ลุกลาม รีบแก้ไขก่อนเกินแก้

ปัญหาเท้าเหม็น และอาการคันจากเชื้อรา อย่าปล่อยให้ลุกลาม รีบแก้ไขก่อนเกินแก้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อหน้าฝนมาเยือน แน่นอนว่าปัญหากลิ่นเท้า อาการคันจากโรคน้ำกัดเท้า และผิวหนังอักเสบตามซอกนิ้วจนเกิดเป็นผื่นแดงคันก็จะกลับมาลุกลามให้หนักใจ เนื่องจากหน้าฝนเป็นช่วงที่เท้ามีโอกาสเปียกชื้นสูง อีกทั้งการสัมผัสกับสิ่งสกปรกต่างๆ ในบริเวณที่น้ำท่วมขังยังจะทำให้เชื้อราเติบโตได้ดี ซึ่งถ้าปล่อยให้ลุกลามก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากเกินจะแก้ไข อีกทั้งยังทำให้เสียบุคลิกและเกิดเป็นความไม่มั่นใจกลัวคนรอบข้างจะได้กลิ่นหมักหมมจากกลิ่นอับที่เท้า แต่ถ้ารู้ตัวรีบป้องกัน และรีบแก้ไข ปัญหาเท้าเหม็นและอาการคันจากเชื้อราจะไม่ใช่เรื่องยากเกินแก้

จุดเริ่มต้นของปัญหากลิ่นเท้าสะสมและอาการคัน

90 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาเท้าเหม็นเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย และมักพบบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง รวมถึงคนที่มีเหงื่อออกมาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียจะเปลี่ยนสารคัดหลั่งและเหงื่อบริเวณผิวหนังให้เป็นกลิ่นเท้า ส่วนอาการคันหรืออาการระคายเคืองจนเกิดเป็นผื่นผิวหนังอักเสบโดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้ามีสาเหตุมาจากความเปียกชื้นและการสัมผัสสิ่งสกปรกต่างๆ ในน้ำท่วมขัง ซึ่งถ้าไม่รีบทำความสะอาดหรือเช็ดให้แห้งก็จะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตจนลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่นำไปสู่โรคน้ำกัดเท้าได้อีกด้วย

เคล็ดลับบอกลากลิ่นเหม็น อาการคัน และเชื้อราที่เท้า

- ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ถ้าต้องลุยน้ำ หรือทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความอับชื้น เช่น ใส่รองเท้าผ้าใบ ออกกำลังกาย หรืออยู่ในชุดเครื่องแบบรองเท้าบู๊ตเป็นเวลานานๆ ให้รีบล้างด้วยน้ำสบู่ จากนั้นแช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที แล้วรีบเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า ซึ่งเป็นจุดอับที่ก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้มากที่สุด

- ถ้าเริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นเท้า หลังจากที่ทำความสะอาดและเช็ดจนแห้ง ให้โรยแป้งฝุ่นให้ทั่ว

- ในช่วงหน้าฝนควรเลือกใส่รองเท้าที่ใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี ส่วนถุงเท้าควรเป็นถุงเท้าผ้าฝ้ายเพื่อจะได้ไม่เก็บกลิ่นจะเกิดเป็นกลิ่นเหม็นอับ

- อย่าตัดเล็บสั้นเกินไป และตัดตรงตามแนวขอบเล็บเท่านั้นโดยไม่ตัดเข้าไปด้านข้างหรือบริเวณจมูกเล็บ

- หากเกิดอาการคัน รู้สึกระคายเคือง และผิวหนังบริเวณเท้ามีลักษณะเปื่อยแดง โดยมีสาเหตุจากการลุยน้ำหรือปล่อยให้เท้าอับอยู่ในรองเท้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานานจนเกิดเป็นโรคน้ำกัดเท้า เบื้องต้นให้รีบปรึกษาเภสัชกรและรักษาด้วยยาทาแก้เชื้อรา เดี๋ยวนี้มีแบบทา วันละครั้ง พร้อมออกฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นเท้าได้ด้วย ซึ่งโรคน้ำกัดเท้าจนเป็นเชื้อรานับได้ว่าเป็นโรคที่คนกลับมาเป็นซ้ำบ่อยที่สุด ดังนั้นแม้ว่าจะหายแล้วควรทายาอย่างต่อเนื่องให้ครบตามฉลาก ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 2-3 สัปดาห์ ที่สำคัญเดี๋ยวนี้มีแบบที่ทาแค่วันละครั้งก่อนนอน ทำให้ไม่ต้องยุ่งยากถอดถุงเท้าทาระหว่างวันอีกต่อไป

- ที่สำคัญหมั่นดูแลรักษาความสะอาดให้มากยิ่งกว่าเดิม ทั้งทำความสะอาดเท้า ถุงเท้า และรองเท้าที่ใส่ให้แห้งสนิทเป็นประจำ

โรคเชื้อราในผิวหนังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ!

ถึงจะทำตามคำแนะนำทุกขั้นตอน แต่โรคเชื้อราในผิวหนังยังกลับมาสร้างความรำคาญให้รู้สึกหงุดหงิด บอกได้เลยว่าคุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่เผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ เพราะจากผลการสำรวจพบว่าคนไข้มากถึง 44% กลับมาเป็นซ้ำอีก โดยมีสาเหตุจากการทายาไม่ครบตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เรียกว่าพอหายดีก็หยุด ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มที่คุณจะกลับมาเป็นซ้ำอีกรอบ

ดังนั้นแนะนำให้ทายาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำในฉลาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ 14-21 วัน

ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ เท่านี้ ปัญหาเท้าเหม็นในช่วงหน้าฝน และอาการคันจากเชื้อราที่เคยเป็นปัญหาหนักใจจนหนุ่มๆ หลายคนไม่กล้าถอดรองเท้าหรือแม้แต่จะหยิบรองเท้าแตะมาใส่ก็จะหมดไป พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความสะอาดจนทำให้มั่นใจยิ่งกว่าเดิม

(Advertorial)

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook