บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ– วินรวีร์ ใหญ่เสมอ

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ– วินรวีร์ ใหญ่เสมอ

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ– วินรวีร์ ใหญ่เสมอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เด็กหนุ่มผู้รักการร้องเพลงได้พลิกชีวิตมาเป็นนักร้องวงบอยแบนด์ที่ดังที่สุดวงหนึ่งในยุค 90 แฟนเพลงรู้จักเขาในชื่อ ต๊ะ บอยสเก๊าท์ ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียง เขากลับเจอกับ “ข่าวร้าย” ที่ทำให้ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน จากคนที่เคยโด่งดังกลายเป็นคนสิ้นหวัง เขาผ่านวันร้าย ๆ นั้นมาได้ด้วยการอ่านหนังสือ เล่นกีฬา และเข้าหาธรรมะ

ความทุกข์ ความผิดหวัง และความสูญเสียที่ต้องเผชิญ กลายเป็น “บทเรียน” สำคัญที่ทำให้เขาเข้มแข็งได้อย่างวันนี้

ลูกชายคนสุดท้อง
ผมเป็นคนจังหวัดสุโขทัย อาศัยอยู่ในอำเภอศรีสำโรงมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวของผมมีกันอยู่ 5 คน คือ พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวและผม นาน ๆ ครั้งเราจึงมีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที เพราะคุณพ่อต้องทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัว คุณแม่ซึ่งเป็นครูจึงรับหน้าที่ดูแลลูก ๆ ทั้งสามอย่างใกล้ชิด

ผมเป็นลูกชายคนสุดท้อง เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก ร่าเริง เป็นเหมือนขวัญใจตัวน้อยของบ้าน ตอนเด็ก ๆ ผมชอบอ้อนคุณแม่ทำให้สนิทและผูกพันกับท่านมากเพราะท่านใจดี เข้าใจผมเสมอ ต่างจากคุณพ่อที่ค่อนข้างดุ บางครั้งผมก็เห็นว่าท่านดุเกินไปและคิดต่อต้านอยู่บ้าง

ผมเรียนชั้นประถมในโรงเรียนเดียวกับที่คุณแม่สอนอยู่ ท่านดูแลทั้งการเรียนและการประพฤติตัว แต่พอเรียนจบป.6 ผมต้องย้ายมาอยู่บ้านป้า เพราะคุณแม่ส่งไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนชายล้วนในตัวจังหวัดพิษณุโลก เข้าไปตอนแรกก็ถูกเพื่อนแกล้งเลย แต่ผมไม่ยอม เพราะถือว่าเคยเป็นหัวโจก จากโรงเรียนเก่ามาก่อน เมื่อเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มเกเร ติดเพื่อน และเที่ยวกลางคืนตั้งแต่อยู่ ม.2

ช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาอยู่พิษณุโลก ผมนั่งรถกลับไปหาคุณแม่ที่สุโขทัยทุกวันศุกร์ แต่หลังๆ ผมเริ่มไม่กลับไปหาท่าน จนท่านต้องเป็นฝ่ายเดินทางมาหาเอง หลายครั้งที่ท่านมาหาแล้วไม่เจอผมจึงได้แต่ฝากจดหมายไว้ให้ ข้อความในจดหมายมักเป็นการสอนเรื่องต่าง ๆ และลงท้ายด้วยคำว่า “รัก” เสมอ

ผมอ่านจดหมายของแม่แล้วสะเทือนใจทุกครั้ง แต่ในวัยนั้นผมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นไม่ได้ จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้ที่บ้านเสียใจ พอขึ้นชั้น ม.3 ผมทำตัวเกเร มีเรื่องชกต่อยอยู่สัก 3 ครั้ง จึงถูกทำทัณฑ์บนว่าห้ามทำผิดอีก แต่จากนั้นไม่นานผมกลับถูกเพื่อนที่โดดเรียนกล่าวหาว่าผมโดดเรียนไปกับเขาด้วยเรื่องนี้จึงกลายเป็นความผิดครั้งที่ 4 ที่ทำให้ผมถูกเชิญออกจากโรงเรียนครั้งนี้ผมถูกคุณพ่อตีไม่ยั้งเลยเพราะถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก

ผมต้องกลับมาเรียนที่สุโขทัยอีกครั้งซึ่งในเวลานั้นคุณพ่อย้ายมาทำธุรกิจโรงงานกระเป๋าหนังที่กรุงเทพฯ โดยพาพี่ทั้งสองไปอยู่ด้วย ผมจึงอยู่กับแม่เพียงสองคน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก ตอนเช้าเราออกจากบ้านพร้อมกัน ตกเย็นกลับมาบ้านผมกับแม่นอนร้องเพลงกันทุกวัน ทำให้ผมผูกพันกับแม่มากขึ้นไปอีก

เริ่มจากศูนย์ในวงการบันเทิง
เมื่อเรียนจบ ม.3 ผมก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯและเรียนต่อสายอาชีพด้านเครื่อง-หนัง ตามใจคุณพ่อที่อยากให้มาดูแลกิจการที่บ้าน แม้สถาบันที่เรียนเป็นวิทยาลัยที่สอนด้านศิลปะ แต่เครื่องแบบเป็นเสื้อช็อปเหมือนกับเด็กช่าง ชีวิตของผมจึงวนเวียนกับเรื่องตีกัน ยิ่งผมเป็นคนไม่ยอมใครด้วย จึงอยู่ในวังวนเช่นนี้เรื่อยไป จนเริ่มได้มาทำงานในวงการบันเทิงและต้องหยุดเรียนไป

ผมเข้าวงการได้เพราะเพื่อนสนิทสมัยที่เรียนอยู่พิษณุโลกตามหาผมที่กรุงเทพฯจนเจอทั้งที่ขาดกาติดต่อกันหลายปี เขาชวนผมไปเข้าโมเดลลิ่งที่เขาเคยอยู่มาก่อน ผมก็ลองตามเขาไป จากนั้นก็ได้ไปแคสต์งานโน้นงานนี้อยู่เป็นปี จนสุดท้ายได้งานแรกเป็นเอกซ์ตร้าในโฆษณาชิ้นหนึ่ง

หลังจากงานแรกก็ได้ถ่ายโฆษณาอื่นเรื่อย ๆ จนภายหลังจึงได้เป็นตัวแสดงหลักของโฆษณาหลายชิ้น และทำให้ผมได้รู้จักกับพี่อ้อย ซึ่งอยู่ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งที่สยามสแควร์เขาส่งรูปผมไปให้พี่พจน์ อานนท์ ทำให้ผมได้ไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่องอนึ่งคิดถึงพอสังเขป และได้รับบทค่อนข้างเด่น ระหว่างถ่ายทำพี่พจน์ก็ให้ขึ้นปกเธอกับฉันจึงทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักผมมากขึ้น

ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่อายุ 15 ปีเริ่มต้นจากศูนย์?ทำทุกงานด้วยความอยากรู้อยากจะพัฒนาตัวเองทุกอย่างเป็นประสบการณ์ใหม่ ผมคิดแต่จะลุยไปข้างหน้า ทำทุกอย่างเป็นขั้นบันได คือการรับงานแต่ละอย่างต้องดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เสมอ ไม่มีที่จะถอยลง

ครั้งหนึ่งมีหมอดูทักผมว่าชีวิตนี้เป็นได้แต่พระรอง คำพูดนี้แทงเข้าไปในใจ ผมไม่ได้คิดว่าต้องเป็นพระเอกดังหรอก แต่คำนี้มันฆ่าเราชัด ๆ ผมเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจเสมอ หลังจากถ่ายทำเรื่องอนึ่งฯจบก็มีงานภาพยนตร์เรื่องหนึ่งติดต่อมา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กใหม่ในวงการอย่างผม เสียแต่ว่าเป็นบทพระรองผมจึงปฏิเสธไป ที่ทำไปอย่างนี้ผมไม่ได้ดูถูกงานนะครับผมคิดเพียงแต่ว่าไม่อยากให้ใครมาลิขิตชีวิตของผม และผมได้พิสูจน์แล้วด้วยว่าชีวิตหลังจากนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หมอดูคนนั้นทักไว้

นักร้องเสียงแหบเสน่ห์
พอเริ่มมีชื่อเสียง ผมก็ได้ร่วมงานกับค่ายอาร์เอส โดยเล่นมิวสิควิดีโอเพลงอัลบั้มข้ามเวลาของพี่ต้อม เรนโบว์ ซึ่งได้เล่นทุกเพลงและมีกระแสตอบรับดีมาก ในขณะเดียวกันนั้นก็มีงานถ่ายแบบเยอะมากผมทำงานในวงการได้สักพัก ทางอาร์เอสก็มีโปรเจ็กต์ทำเพลงเป็นวง 3 คน โดยเรียกนักแสดงวัยรุ่นชายในตอนนั้นไปเทสต์เสียงซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้นด้วยผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนเสียงแหบ พอทางค่ายเรียกเข้าไป คุณพ่อคุณแม่จึงส่งผมไปเรียนร้องเพลงกับครูอ้วน-มณีนุชเพื่อให้มีพื้นฐานด้านการร้องเพลงบ้างพอเข้าไปเทสต์ก็เจอแต่คนเสียงดี ผมก็เริ่มไม่มั่นใจจึงร้องไปแบบเน้นความสนุกมากกว่า จนสุดท้ายผมผ่านการคัดเลือกและได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในสามของนักร้องวงบอยสเก๊าท์มีเพื่อนร่วมวงคือ ดิ๊บ และ โจที่เป็นเพื่อนร่วมแก๊งร้องเพลงกันตั้งแต่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอนึ่งฯ แล้ว เมื่อออกอัลบั้มแรกเพลงดังมาก ดังทั้งอัลบั้ม สมัยนั้นยังไม่มีนักร้องมากนัก คนทั้งประเทศจึงรู้จักวงบอยสเก๊าท์ จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับบทพระเอกในภาพยนตร์เรื่องเด็กระเบิด ยืดแล้วยึด และเด็กเสเพลภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมได้ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จ ผมได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ปี พ.ศ.2539 เป็นรางวัลที่ผมภูมิใจอย่างมาก รวมทั้งเป็นการลบคำสบประมาทของหมอดูคนนั้นไปได้

แต่ชื่อเสียง เงินทอง ความโด่งดังจากการเข้าวงการก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมเข้าวงการตั้งแต่วัยรุ่นวุฒิภาวะยังน้อย จากเด็กธรรมดาทั่วไปกลายมาเป็นคนดังที่มีแต่คนดูแลเอาใจ ทำให้ “หลง” กับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นได้ง่ายตอนทำงานอัลบั้มแรกผมให้คุณพ่อคุณแม่เก็บเงินให้ทั้งหมด เพราะช่วงก่อนหน้านั้นธุรกิจของคุณพ่อล้ม เงินที่ได้จากการทำงานจึงนำไปซื้อบ้านซื้อรถให้กับครอบครัวได้ แต่พอออกอัลบั้มที่ 2 ผมเก็บเงินเอง แล้วก็ไม่เหลือเลยสักบาท เพราะอยากได้อะไรก็ซื้อหมด ของอะไรที่ไม่มีเงินซื้อตอนเด็กก็กวาดซื้อมาหมด ช่วงนั้นผมติดเพื่อนมาก ทุกเย็นวันศุกร์ผมจะรับเพื่อนไปเที่ยวต่างจังหวัด มีเงินเท่าไหร่ก็เลี้ยงเพื่อนหมดจนหลายครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่ช้ำใจและความติดเพื่อนนี่แหละเป็นต้นตอของเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิต

ความทุกข์อันแสนสาหัสเกิดขึ้นเมื่อผมอยู่ในวัยเบญจเพสอย่างที่เคยเล่าว่า ช่วงวัยรุ่นผมติดเพื่อนมากว่างเมื่อไหร่ก็ไปเที่ยวไปเฮฮากับเพื่อนจนลืมให้ความสำคัญกับครอบครัวสุดท้ายจึงต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ติดอยู่ในใจไม่มีวันลืม

การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมใจแตกสลายเกิดขึ้นเมื่อผมอายุ 25 ปี คืนนั้นเป็นคืนวันสิ้นปีผมกำลังเตรียมตัวออกไปเคานต์ดาวน์กับเพื่อน ๆ ตามที่นัดกันไว้ แต่คุณแม่ไม่อยากให้ออกไปเพราะอยากให้ผมอยู่กับครอบครัวบ้างท่านขอให้ผมอยู่บ้านสักคืน แต่ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร ผมก็ไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ท่านโมโหมากจึงพูดขึ้นมาว่า “แม่จะจับแกบวช” ตอนนั้นผมดื้อเกินกว่าจะฟังคำของแม่จึงออกจากบ้านมาโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือคำพูดสุดท้ายที่จะได้ยินจากปากท่าน
ขณะที่ผมกำลังปาร์ตี้สนุกสนานอยู่กับเพื่อน ช่วงตีหนึ่งกว่าๆ ก็ได้รับข้อความทางเพจเจอร์ว่า“แม่ไม่สบายรีบมาโรงพยาบาลด่วน” ผมอ่านข้อความนั้นแล้วใจหายวาบรีบออกไปโรงพยาบาลทันที จะเป็นไปได้ยังไงแม่เป็นคนแข็งแรงมาก ผมคิดในใจไปตลอดทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งใจไม่ดีเมื่อถึงโรงพยาบาล พ่อมายืนรอรับผมอยู่แล้ว ท่านบอกว่า “ใจเย็น ๆ นะลูก” ผมรีบเดินเข้าไปด้านในและเห็นพี่สาวนั่งร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กอยู่หน้าห้อง พอเดินเข้าไปในห้องก็เห็นผ้าคลุมร่างคุณแม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบบ้าผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไป เวลานั้นผมควบคุมสติไว้ไม่อยู่ได้แต่ต่อยตัวเอง จิกกระชากผม เอาหัวโขกกำแพง ทำร้ายตัวเองสารพัด จนญาติ ๆ ต้องมาล็อกตัวกันชุลมุนกว่าจะได้สติและพูดจารู้เรื่องก็เกือบแปดโมงเช้า คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าคุณแม่นอนหลับไปแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออกคุณพ่อจึงรีบพาส่งโรงพยาบาล แต่คุณแม่ก็หมดสติไปตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หมอบอกว่าท่านหัวใจล้มเหลว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะเทือนใจ ไม่มีครั้งไหนที่ผมเสียใจเท่านี้อีกแล้ว

ผมบวชหน้าไฟในงานศพแม่ และบวชต่อไปอีกเป็นเวลา 19 วัน การบวชครั้งนั้นไม่ได้ทำให้จิตใจของผมสงบลงเลย เพราะใจยังไม่พร้อม ยังคงโศกเศร้ากับการสูญเสียหลายครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ผมก็โทษตัวเองเสมอว่าถ้าวันนั้นผมไม่ออกจากบ้าน เหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

“ข่าวร้าย”ทำลายชีวิต
ความโศกเศร้าจากเรื่องแม่ยังไม่ทันจางหาย ผมก็ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ ที่ทำให้สูญสิ้นทุกสิ่งในชีวิตหลายคนคงจำได้ว่าผมเป็นข่าวใหญ่อยู่พักหนึ่ง แม้เหตุการณ์นี้ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ผมยังคงจดจำได้ดี เช้าวันนั้นเกิดข่าวครึกโครมในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่า ต๊ะ บอยสเก๊าท์ เมายาและทำร้ายร่างกายผู้หญิงเมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ผมรู้ทันทีว่าชีวิตผมพังแล้ว เพราะทางค่ายเพลงต้นสังกัดสอนศิลปินทุกคนอยู่ตลอดว่า อย่าเป็นข่าวในทางไม่ดี สำหรับข่าวนี้ ผมยอมรับว่าเคยเสพยาบ้าง แต่เรื่องทำร้ายผู้หญิงผมไม่เคยทำและไม่เคยคิดที่จะทำ?ถึงผมเคยผ่านเรื่องตีรันฟันแทงมาเยอะ แต่กับผู้หญิงผมไม่เคยทำแน่นอนข่าวนี้ทำให้ผมเสื่อมเสียมาก ทันทีที่ข่าวออกมา ค่ายเพลงต้นสังกัดออกมาแถลงข่าวตัดผมออกจากค่ายเพลงและงานทุกอย่าง ทั้งที่ผมกำลังถ่ายละครเรื่องหนึ่งและกำลังทำอัลบั้มเดี่ยวด้วย ข่าวของผมเวลานั้นมันร้ายแรงมากจริง ๆ ผมจึงเข้าใจบริษัทที่ไม่ควรมาแปดเปื้อนด้วยข่าวเสียหายของศิลปินคนหนึ่ง

ช่วงนั้นข่าวของผมแรงมากขึ้นหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน ผมไม่กล้าอ่านข่าวพวกนั้นและไม่ออกไปไหน อยู่แต่บนเตียงถึง 5 วัน ตื่นมาก็ไม่อยากทำอะไร นอนซังกะตายอยู่อย่างนั้น?ไม่พูดไม่จากับใคร ผมเพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดจากการเสียคุณแม่ไปเมื่อต้นปีพอปลายปีก็มาเจอเหตุการณ์นี้อีก

ช่วงเวลานั้นครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญคุณพ่อของผมเปลี่ยนไปเลย จากที่เคยดุก็กลายมาเป็นคนที่เข้าใจผม คอยปลอบใจและเป็นกำลังใจสำคัญ นอกจากนี้ก็มีเพื่อนๆ คอยดูแลช่วงนั้นโด่ง–สิทธิพร นิยม และพี่แซ้งค์–ปฏิวัติ เรืองศรี ชวนผมออกไปนั่งที่ร้านของเขาเสมอ เพื่อให้ผมไม่จมอยู่กับความทุกข์ ผมก็ไปนั่งเล่นจนร้านปิด แม้จะต้องเผชิญกับสายตาที่มองมา แต่การออกไปข้างนอกก็ทำให้ผมได้รับกำลังใจดี ๆ จากหลายคนที่เชื่อในตัวผมกลับมาเสมอ

เกือบคิดสั้น
ผมไม่ค่อยระบายความทุกข์ให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้คนอื่นทุกข์ไปด้วย จึงได้แต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ จนครั้งหนึ่งเกือบทนไม่ไหว คิดฆ่าตัวตายให้พ้นไปจากปัญหาวันนั้นผมไปที่คอนโดของเพื่อน ซึ่งเป็นตึกสูง16 ชั้น แล้วขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องต่างๆ จนร้องไห้ไม่หยุดวูบหนึ่งผมคิดว่า ผมไม่อยากอยู่แล้ว หากผมก้าวเท้าไปข้างหน้า ร่างของผมก็จะตกลงไปแต่ในวินาทีแห่งการตัดสินใจ ผมกลับได้ยินเสียงเพลงแว่วมาในหัว “ตายถึงยอม แต่ไม่ใช่ยอมตายเพื่อหนีปัญหาทุกอย่าง ตายมันง่าย ถ้าแน่จงอยู่สู้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง” นี่คือเพลงคนยุคเหล็กของพี่โป่งวงหินเหล็กไฟ?ผมไม่รู้ว่าเสียงเพลงมาจากไหนแต่พอท่อนเพลงนี้แว็บเข้ามา ผมนึกไปถึงภาพพี่สาวที่ร้องไห้โฮเป็นเด็กในวันที่แม่จากไป มันสะเทือนใจมากจนฉุกคิดได้ว่า ถ้าผมตายไปอีกคนหนึ่ง ผมอาจจะสบาย แต่อีกสามคนในครอบครัวคงรับไม่ไหวแน่ ๆ เมื่อได้ร้องไห้ระบายความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้นก็ค่อย ๆ นั่งลง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก แล้วก็ตัดสินใจว่าจะต้องสู้ต่อไป

ผมลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ความจริง โดยสู้คดีให้ถึงที่สุด ทุกครั้งที่ศาลเรียกสืบพยานผมจะมองพระพุทธรูปที่วางหน้าบังลังก์ และพูดเสมอว่า “นี่หรือคือสิ่งที่ผมได้รับ” ผมไม่เคยทำร้ายผู้หญิง ไม่เคยทำชั่วแบบนั้น และมั่นใจในสิ่งที่ทำมาตลอด ผมสู้คดีนี้อยู่ถึง 2 ปี 8 เดือน ในที่สุดศาลยกฟ้อง ผมจึงพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด

ในวันที่เป็นข่าวข่าวนั้นขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่งนาน 5 วัน แต่ในวันที่ผมพิสูจน์แล้วว่าผมไม่ผิด ข่าวของผมกลับอยู่ในกรอบเล็ก ๆ ในหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ แล้วใครจะรู้ จะมีสักกี่คนที่เปิดอ่าน แม้ช่วงนั้นผมได้ออกไปพูดเรื่องนี้ในรายการโทรทัศน์หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนไปได้ เพราะหลายคนได้พิพากษาผมไปแล้วว่าผมเป็นคนไม่ดี ทุกวันนี้ยังมีคนติดภาพว่าผมเป็นคนทำร้ายผู้หญิงด้วยซ้ำ

ผมเคยกราบเรียนถามเรื่องนี้กับท่านว.วชิรเมธี ท่านบอกผมว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนโลกนี้ได้ และเราไม่สามารถบังคับจิตใจคนนั้นคนนี้ให้มาคิดดี ๆ กับเราได้เช่นกัน ผมจึงเริ่มคิดได้ว่าอย่าเอาใจไปยึดติดกับอดีต แต่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วความทุกข์ในใจจะน้อยลงแต่กว่าจะทำใจผ่านเรื่องราวร้าย ๆ เหล่านี้มาได้ ผมต้องใช้เวลานานหลายปี โชคดีที่ได้พบสิ่งที่ช่วยประคับประคองจิตใจให้ยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ของตัวเองได้

(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)
Secret BOX ถ้าไม่ลองก้าวจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่าข้างหน้าเป็นอย่างไร
พุทธทาสภิกขุ
Secret BOX ต่อให้ทุกข์ที่สุดก็ต้องผ่านพ้นไปจนได้ เมื่อเรานั่งมองอดีตเรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
เรื่อง : วินรวีร์ ใหญ่เสมอ เรียบเรียง: เชิญพร คงมา
ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์: ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า-ทำผม ภูดล คงจันทร์

ขอขอบคุณ:
Factory & Light Cafe
ถนนประดิษฐ์มนูธรรม
โทร.0-2538-3354,09-1946-1624

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook