สหรัถ สังคปรีชา โซเชียลต้องวิ่งตามเขา เพราะเขาไม่วิ่งตามโซเชียล

สหรัถ สังคปรีชา โซเชียลต้องวิ่งตามเขา เพราะเขาไม่วิ่งตามโซเชียล

สหรัถ สังคปรีชา โซเชียลต้องวิ่งตามเขา เพราะเขาไม่วิ่งตามโซเชียล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คงจะมีหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเหมือนรูปสลักที่ไม่พ่ายแพ้ต่อกาลเวลา รอยยิ้มอบอุ่นกระชากใจทั้งสาวรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ เสียงร้องนุ่มๆ มาดนิ่งๆ ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ยังได้รับความนิยมแบบสม่ำเสมอมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ต้องพึ่งซิกซ์แพ็ค ไม่ต้องง้ออินสตาแกรม และก็เสียใจด้วยนะซัคเกอร์เบิร์ก โซเชียลต้องวิ่งตามเขา เพราะเขาไม่วิ่งตามโซเชียล

“ขอเปลี่ยนเวลาเป็นเที่ยงวันเสาร์และเปลี่ยนสถานที่เป็นทองหล่อนะคะ” ผู้จัดการของก้อง-สหรัถ โทร.มาคอนเฟิร์มนัดหมายสัมภาษณ์ในเวลาเกือบเที่ยงคืนของวันศุกร์ท่ามกลางเสียงดนตรีคอนเสิร์ตดังกระหึ่มลอดมาตามสายโทรศัพท์ เป็นการนัดหมายครั้งที่สามหรือสี่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ดีใจที่ผมไม่ต้องตามไปสัมภาษณ์เขาที่หลังเวทีคอนเสิร์ตที่พัทยา

ที่เล่ามาไม่ได้หมายความว่ากว่าจะนัดผู้ชายคนนี้ได้นั้นยากลำบาก แต่มองในมุมกลับ ผู้ชายคนนี้ออกอัลบั้มแรกในปี พ.ศ. 2531 ในนามของวงนูโว เขาไม่ใช่เซเลบที่มีข่าวฉาวประเภทนักข่าวตามล่าในงานอีเว้นต์ เขาไม่ใช่พระเอ๊กพระเอกที่ละครออนแอร์ชนกันหลายช่อง และรายการ The Voice ที่เขาเป็นโค้ชอยู่นั้นก็จบซีซั่นไปตั้งนานแล้ว แต่คิวงานของก้อง-สหรัถ สังคปรีชา ยังคงแน่นเอี้ยด! ไม่ว่าเทรนด์ดารา/นักร้องหนุ่มจะเปลี่ยนไปอย่างไร ต้องพ่วงมาด้วยแพ็คเกจซิกซ์แพ็ค จมูกโด่ง หน้าเกาหลี ต้องอัพรูปตัวเองลงอินสตาแกรม รวมทั้งตอบโต้กับแฟนคลับอย่างใกล้ชิด ผู้ชายคนนี้กลับไม่ต้องทำอะไรเลย

เที่ยงวันเสาร์ที่กรุงเทพฯ กระหน่ำไปด้วยสายฝน เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารจีนย่านทองหล่อ สหรัถและผู้จัดการนั่งสั่งอาหารรออยู่ที่โต๊ะแล้ว

“ชอบทานอาหารจีนเหรอครับ” เราถามเปิด

“ได้หมดครับ แล้วแต่วัน บางวันก็อิตาเลียน บางวันก็จีน บางวันก็ญี่ปุ่น บางวันก็ไทย บางวันก็อินเดีย” สหรัถตอบด้วยเสียงนุ่มทุ้ม จังหวะสมูธสม่ำเสมอเหมือนอย่างที่เราได้ฟังในรายการ The Voice เขาสั่งซุปเสฉวนและฮะเก๋า คืนก่อนหน้านี้ เขายังเล่นคอนเสิร์ตที่พัทยาจนดึกดื่น ก่อนจะตีรถกลับมายังกรุงเทพฯ ทันที คาดว่าคงมีเวลานอนไม่มากนัก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังดูสดใสไม่มีวี่แววความเหนื่อยหรือง่วงเลยสักนิด

“งานประจำตอนนี้ก็มีเล่นคอนเสิร์ตนี่ละครับ มีคอนเสิร์ตทั้งของวงนูโว วงโจ-ก้อง ก้อง Acoustic เดี่ยว แล้วก็มีอัดสปอตโฆษณา พากย์เสียง ละครซิทคอม เดี๋ยวก็จะมีหนังปลายปี กรกฎาคมนี้น่าจะเริ่มถ่ายทำแล้ว”

ในคอนเสิร์ต เราได้ฟังแต่เพลงฮิตตลอดกาลของพวกเขา เพลงที่เราทั้งประเทศร้องตามกันได้ ซึ่งมันก็สนุกดี แต่บางทีเราก็สงสัย “แล้วไม่คิดอยากจะทำเพลงใหม่หรือครับ” ผมถาม สหรัถหันมามองหน้าทันที คงคิดว่าไอ้เด็กคนนี้ไม่ได้ติดตามวงการเพลงเลยสินะ “เคยทำครับ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้พวกผมก็ทำอัลบั้ม แต่มันไม่เวิร์ก รู้สึกเราทุ่มเทไปมันก็เหนื่อยเปล่า ออกอัลบั้มใหม่มาคนก็ยังชอบอัลบั้มเก่าอยู่ดี คนก็ยังเรียกร้องนูโวชุด 1, 2, 3, 4 อยู่ดี เราลองทำนูโว 5, 6, 7 ลองทำอะไรมาแล้วก็ไม่ได้ผลตอบรับ ในคอนเสิร์ตหนึ่งมันก็เล่นได้ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ตกประมาณ 15 เพลง ซึ่ง 15 เพลงนี้ก็ต้องเอาเพลงที่เขาชอบกัน พอเล่นเพลงใหม่ๆ คนก็จะถามว่าทำไมไม่เล่น ‘ไม่เป็นไรเลย’ ‘ลืมไปไม่รักกัน’ ‘ลึกสุดใจ’

“เราก็เลยสรุปกันแล้วว่าทำอัลบั้มใหม่ไปก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากว่ามันจะฟลุคมากจริงๆ เกิดเปรี้ยงปร้างแบบเพลง ‘รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ ของพี่ติ๊ก ชิโร่ ถามว่ามันยากไหม มันยากมาก พี่ติ๊กเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพลง ‘รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ จะดังขนาดนี้ วันที่แต่งเขาก็คงทำให้ดีที่สุด แต่จะดังแค่ไหนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ได้ เป็นบุญวาสนาของเขา บางคนแต่งเพลงดีแต่ไม่ถูกหูคนไทย ก็มีเยอะนะครับ เพลงคุณภาพแต่ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ แต่บางเพลงเป็นโป๊ง โป๊ง ชึ่ง ง่ายๆ แต่ดังแบบถล่มทลาย ผมก็งงตลาดคนฟังเหมือนกัน ตกลงเพลงดีมันคืออะไรวะ”

“ยอมแพ้ไหมครับ” ผมคิดว่าน่าจะเปลี่ยนจากร้านอาหารจีนเป็นร้านเหล้าน่าจะเหมาะกับบรรยากาศและเรื่องที่เรากำลังคุยกันตอนนี้ “ก็มีบ้างนะ บางทีก็สงสารนักดนตรีเหมือนกัน อย่างผมหรือวงนูโว เราอยู่ตัวไปแล้ว เรามีเพลงเก่าของเราที่ยังขายได้ ไมโคร นูโว เจ-เจตริน หรือใหม่ เจริญปุระ ศิลปินพวกนี้มันเหมือนเขาลอยตัวไปแล้ว จัดคอนเสิร์ตที่อิมแพคฯ กี่ครั้งคนก็เต็ม แต่ผมเห็นใจนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ มากกว่า ผลิตงานเพลงออกมายอดขายก็ไม่มี ถ้าเขาไม่มีรายได้แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ขายไม่ได้ก็ต้องดาวน์โหลด ซึ่งยอดดาวน์โหลดต่อยูนิตมันก็น้อย จริงอยู่ อีกมุมมันมีทางออก มีสื่ออีกหลายแบบ ในยุคนี้แต่งเพลงเสร็จ ถ่าย MV แล้วลง YouTube ไปเลย เดี๋ยวก็มียอดวิวตามมา แต่ถามว่าแล้วจะไปซื้อซีดีที่ไหน ใครจะเป็นผู้ผลิต ใครจะปั๊มซีดีขายให้คุณ ใครจะทำปกซีดี ก็ต้องอาศัยบริษัท โอเค ยอดวิวคุณเยอะ แล้วอย่างไรต่อ ถ้าโชคดีก็ขายคอนเสิร์ตได้ แต่บางวงมีแค่ยอดวิวแต่ไม่ค่อยมีงานคอนเสิร์ต สุดท้ายก็ไม่รู้จะไปรับเงินจากตรงไหน มันลำบากเหมือนกันนะสำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ” แม้เนื้อความจะเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่เสียงของสหรัถก็ยังคงทุ้มนุ่ม เหมือนตอนที่ร้องเพลง “ลึกสุดใจ” ไม่มีผิดเลย

“หรือต้องทำตัวเองให้มีข่าว จับคู่จิ้น ออกอีเว้นต์? เหมือนเป็นแผนมาร์เก็ตติ้งยังไงยังงั้น” ผมทำเป็นพูดลอยๆ แต่ความจริงคืออยากได้ความเห็นเขาเรื่องนี้นั่นแหละ ได้ผลด้วยแฮะ “ก็อาจจะเป็นเพราะว่าศิลปิน ดารา นักร้อง หรือคนที่อยู่ในวงการบันเทิงมีเยอะขึ้น ก็เลยต้องทำทุกทางเพื่อให้เป็นกระแสหรือมีการพูดถึง บางคนคิดผิดนะครับ ไปคิดว่าทำอะไรก็ได้ จะดีจะเลวอะไรไม่สน ขอให้มีคนพูดถึง แต่อีกมุมหนึ่งผมว่าก็น่าเห็นใจ น่าสงสารเขาเหมือนกัน เพราะเขาอาจจะไม่มีช่องทาง หรือเขาต้องการมีกระแส เพราะเขามีภาระจำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเอง ครอบครัวหรือเปล่า ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ฉันได้เข้าไปถึงในจุดที่ฉันพอจะเมคมันนี่ได้ จริงๆ เขาอาจจะไม่อยากทำก็ได้ ก็มองได้สองมุม” จบคำตอบ ผมมองเข้าไปยังนัยน์ตาใสๆ ที่แสนอ่อนโยนคู่นั้นของสหรัถ แววตาคู่นี้แหละที่ทำเอาสาวๆ ละลายกันมาทั้งประเทศ พระเอกชัดๆ

คุณจะไม่มีวันเห็นก้อง-สหรัถทำตัวเป็นข่าวฉาวแน่ๆ แม้แต่ข่าวซุบซิบหรือรูปปาปารัซซี่ชีวิตส่วนตัวใดๆ กระจอกข่าวทั้งหลายก็พากันงดเว้นเขาเอาไว้ ราวกับทำสัญญาใจกันมาแต่ชาติปางก่อน

“ก็ต้องขอบคุณนะครับที่สื่อทั้งหลายให้เกียรติ ผมเป็นคนให้เกียรติคน ให้เกียรติทุกๆ อาชีพ ผมเองก็จะเคารพการทำงานของคนทุกคน อย่างอาชีพนักข่าว แน่นอนเขาก็ต้องหาข่าว มันเป็นอาชีพของเขา เรามีอาชีพเป็นนักร้องนักดนตรีก็ต้องเล่นดนตรี แต่ละคนก็ต้องทำงานของตัวเองไป เราไม่ไปก้าวก่ายใคร ไม่ไปทำร้ายจิตใจใคร ก็คงไม่มีใครมาทำร้ายจิตใจเรา

“ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าผมเป็นคนโลว์เทคมั้งครับ สารภาพตามตรงว่าผมไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียอะไรเลย เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีเวลาจริงๆ กลางคืนผมก็ทำงาน ร้องเพลง ผมทำงานหนักก็เลยไม่ค่อยมีเวลามายุ่งกับโลกโซเชียลทั้งหลาย มาพิมพ์ มาตอบ มาแชท มาโพสต์นู่นนี่นั่น แล้วผมรู้สึกว่าถ้าเราโดดลงไปเล่นเมื่อไหร่มันจะวุ่นวาย เพราะเห็นมาหลายคนแล้วที่ชีวิตวุ่นวายเพราะโซเชียล ผมทำงานหนัก พอมีเวลาว่างก็อยากจะอยู่แบบสงบๆ พักผ่อน ฟังเพลง เทคโนโลยีพวกนี้บางทีถ้าใช้เป็นก็ดี แต่ต้องให้เราอยู่เหนือมันนะ แต่บางคนพอไปยุ่งกับมันมาก ไปอยู่ภายใต้มันก็ทำให้ชีวิตเดือดร้อนอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ผมก็เลยตัดสินใจว่าไม่ยุ่งแล้วกัน เวลาพักมันจะได้พักจริงๆ”

ก็ถูกอย่างที่สหรัถพูด เพราะตลอดเวลาที่ผมมาถึงร้านอาหาร นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขา ผมยังไม่เห็นโทรศัพท์มือถือของเขาเลย ไม่มีเสียงโทร.เข้า ไลน์ไม่เตือน แชทไม่ดัง ไม่เห็นเขาโต้ตอบใดๆ กับใคร แต่อย่างที่เขาบอก ผลดีมันก็มีมหาศาลเพราะฐานแฟนคลับผ่านการเล่นโซเชียลนั้นมีผลมหาศาลต่อความนิยมในตัวดาราคนนั้นๆ ในเชิงธุรกิจ การอยู่และมีงานทำในวงการบันเทิงนี้ และนั่นจึงทำให้อินสตาแกรมกลายเป็นช่องทางการสื่อสาร หรือแม้แต่ช่องทางการหาข่าวของนักข่าวในปัจจุบัน

“เดี๋ยวนี้ดาราชายหนุ่มๆ เขาชอบเล่นอินสตาแกรมแล้วเซลฟี่ถอดเสื้อโชว์ซิกซ์แพ็ค ทำไมคุณไม่อยากโชว์ซิกซ์แพ็คบ้างเหรอครับ” ผมเริ่มแหย่ เพราะเป็ดปักกิ่งเดินทางมาถึงยังโต๊ะอาหารแล้ว

“โอยยย...ยอมครับ ผมคงหมดเวลาแล้วมั้ง ด้วยอายุ ด้วยวัย ก็ปล่อยให้น้องๆ วัยยี่สิบเขาว่ากันไปก็แล้วกัน ผมทำได้มากสุดก็แค่ขี่จักรยาน (หัวเราะ) ถามว่าผู้ชายอยากมีซิกซ์แพ็คไหม ผมว่าไม่มีใครปฏิเสธ อยากมีแน่นอน แต่มันต้องมีเวลาทุ่มเท ทุกวันนี้ผมหาเวลานอนยังไม่ค่อยได้เลย คือถ้ามีเวลาก็ไม่แน่นะ อาจทำก็ได้ เพราะเล่นก็ดีมันก็ได้สุขภาพที่ดี รูปร่างที่ดี ผมก็อยากมี ก็ไม่แน่นะ เดี๋ยวผมอาจจะเข้าฟิตเนส ทำซิกซ์แพ็คแล้วถอดเสื้อโชว์ขึ้นปกนิตยสารก็ได้ นี่ก็มีอยู่นิดๆ นะครับ” ว่าแล้วเขาก็ตบท้องโชว์ ซึ่งไม่รู้ว่าตบซิกซ์แพ็ค หรือว่าที่ตบท้องเพราะหิวกันแน่

“ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรกับหน้าตัวเองเลย ศัลยกรรมอะไรทั้งหลายนี่ไม่เคยทำเลย ไม่กล้าทำด้วย ผมกลัวมาก ผมกลัวเข็ม สิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำทุกๆ 3 เดือนก็คือคุณหมอให้ไปทำเลเซอร์ หมอบอกว่าควรจะทำก็ไปทำ ทำแล้วรู้สึกว่าดูใสๆ ขึ้นแค่นั้นเอง ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการดูแลจากภายในมากกว่า ออกกำลังกายเป็นประจำ ผมไม่ค่อยกินเนื้อแดงนะครับ พยายามกินพืชผักผลไม้ให้เยอะหน่อย ภายในจะได้ไม่หมักหมมมาก สำหรับภายนอกก็คงทำได้เท่าที่ทำได้ไปก่อน

“คนเรามันก็ต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ยอมแก่มันเป็นเรื่องที่ฝืนสังขารเกินไป วันหนึ่งอายุ 50 กว่าแล้ว จะต้องให้ดูหล่อมากเหมือนสามสิบ มันก็ผิดธรรมชาติ ก็ต้องดูยับบ้างย่นบ้าง เป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ต้องยอมปล่อยมันไป ไม่ต้องไปฝืน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น” พูดจบผมก็จ้องหน้าเขาทันที เออ… ไม่มีตีนกาเลยแฮะ ผิวยังตึงอยู่เลย แต่ความไม่สม่ำเสมอบนผิวหน้าหรือรอยสิวรอยกระเล็กๆ น้อยๆ ตามอายุยังมีอยู่ แต่เมื่อนับว่าอายุ 48 ปีแล้ว คงต้องบอกว่า ‘ดูดีชิบเป๋ง’

“ผมว่าที่ตอนนี้ซิกซ์แพ็คมันเป็นเทรนด์ ก็เพราะว่าฟิตเนสมีมากขึ้น มีอาชีพเทรนเนอร์เกิด มีอุปกรณ์มีเทคโนโลยีหลายๆ อย่างรองรับเยอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วที่ผู้ชายจะไปเข้ายิม เมื่อก่อนจะเข้าฟิตเนสทีต้องไปเป็นเมมเบอร์ปีหนึ่งหลายหมื่นหลายแสน แต่เดี๋ยวนี้ก็ถูกลง ง่ายขึ้น ผู้ชายรูปร่างดีมันก็ดูดีถูกไหมครับ แน่นอนอยู่แล้ว คนรูปร่างหน้าตาดีก็ได้เปรียบ ไม่ใช่แค่สมัยนี้หรอกครับ เพียงแต่มันมีการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเกิดขึ้น อย่างยุคหนึ่งคือถึงจุดสูงสุดของวงการดนตรี ตอนนี้ก็อาจจะค่อยๆ เฟดลง เพราะเคยแตะจุดที่สูงสุดมาแล้วหรือเปล่า แต่วงการกีฬา วงการฟิตเนส การออกกำลังกายอาจจะยังไม่เคยแตะถึงจุดสูงสุด ตอนนี้มันก็อาจจะเป็นช่วงที่การกีฬาหรือการออกกำลังกาย มีซิกซ์แพ็ค โชว์หุ่น พัฒนาขึ้นมาเพื่อไปยังจุดสูงสุดของมัน

“อันที่จริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็วนไปวนมานะครับ กางเกงเดี๋ยวก็ขาบาน เดี๋ยวก็ขาเดฟ เมื่อก่อนก็บานคลุมรองเท้า แล้วก็หุบมาจนเหลือขากระบอกรัดติ้ว ผมเชื่อว่าอีกหน่อยมันก็บานออกไปอีก แล้วก็จะกลับมาหดอีก จะเป็นอย่างนี้ ก็วนเป็น Life Circle ของมันอยู่อย่างนี้” สหรัถจบประโยคพร้อมด้วยการยกซุปเสฉวนขึ้นมากินคำแรกหลังจากที่พยายามจะกินอยู่นาน แต่ไม่ได้โอกาสสักทีเพราะต้องตอบคำถาม

“แล้ว Life Circle ของคุณเองจะเดินทางไปยังไงต่อครับ”

“ผมคิดว่าพออายุ 50 กลางๆ ผมจะใช้ชีวิตเบาๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆ ซะที เพราะเหนื่อยมาเยอะแล้ว พอแล้ว พักผ่อน ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุข ทำตัวให้แข็งแรง ไม่ต้องร่ำรวยมาก พอมีกินมีใช้อย่างมีความสุข ได้เล่นดนตรีเท่าที่ตัวเองอยากจะเล่น มีสถานที่ให้ตัวเองได้ระบาย ได้เล่นดนตรีอย่างที่ตัวเองฝันที่ตัวเองชอบ เมื่อถึงตอนนั้นผมจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเลย จะไม่ฝืนใจอีกแล้ว ใช้ชีวิตเที่ยวไปเรื่อยๆ แล้วก็เล่นดนตรี เท่านั้นแหละ”

ผมนับนิ้วอยู่ในใจ 47 48… 55 อืม โอเค ชาวไทยยังมีเวลาได้ดูหน้าหล่อๆ ราวเทพบุตรของเขาไปอีกหลายปี

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ สหรัถ สังคปรีชา โซเชียลต้องวิ่งตามเขา เพราะเขาไม่วิ่งตามโซเชียล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook