ติ๊ก ชีโร่ “มนุษย์ค้างคาว ที่ยัง (รัก) ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

ติ๊ก ชีโร่ “มนุษย์ค้างคาว ที่ยัง (รัก) ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

ติ๊ก ชีโร่ “มนุษย์ค้างคาว ที่ยัง (รัก) ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากคุณลองหลับตาจินตนาการภาพของติ๊ก ชีโร่ หรือ มนัสวิน นันทเสน ศิลปินชายที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรีบ้านเรามาอย่างยาวนาน เชื่อว่าภาพหนึ่งที่ปรากฏชัดเจนคงเป็น “รอยยิ้มฉีกกว้าง” กับบุคลิกแบบคนที่มีพลังความสุข ความสนุกสนานซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม

ที่ผ่านมาเขามุ่งมั่นสู่การเป็นนักร้องและต้องการถ่ายทอดพลังนั้นกับผู้ฟัง แน่นอนบทเพลงของเขาติดหูในหลายๆ บทเพลง แต่ปัจจุบันเราแถบไม่ค่อยได้เห็นบทบาทด้านดนตรีของเขาเท่าไร

เพราะแท้จริงแล้วชายหนุ่มที่รักการเต้นแรงเต้นกาแบบเขายังมีอีกด้านหนึ่งที่คนทั่วไปไม่เคยสัมผัส Sanook! Men ขอเปิดมุมๆ นั้นให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนของเขามากยิ่งขึ้น

ตอนเด็กๆ คุณเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในท้องไร่ท้องนา แล้วความสนใจด้านดนตรีของคุณมาจากไหน
ตอนเด็กๆ ผมชอบฟังดนตรี ฟังตลอดเวลา และคิดว่ามันเป็นพื้นฐานที่มีพลังมากที่สุด

กว่าคุณจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับคุณผ่านอะไรมาบ้าง
การเดินทางเข้ามาเป็นนักร้องไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง มีความวิริยะอุตสาหะอย่างมาก ซึ่งผมยังไม่แน่ใจว่าเด็กยุคนี้จะสามารถต้านทานความยากลำบากอย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยก่อนได้ไหม

“ในยุคก่อนไม่มีอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ก็ไม่มี มีแค่วิทยุ แผ่นเสียง เนื้อเพลงก็ไม่มี ถ้าเป็นเพลงภาษาอังกฤษก็อาจต้องแกะเองอย่างมั่วๆ ดูตามหนังสือ ซึ่งโอกาสผิดพลาดสูงมาก”

ความเป็นเลิศทางดนตรีจึงน้อยเพราะครูสอนไม่เพียงพอ อินเทอร์เน็ตยังไม่มี บทเรียนต่างๆ ก็หาได้ยากมาก ในยุคก่อนก็จะไม่มีการบอก การสอน ไม่มีการให้บทเรียนเหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานที่ค่อนข้างมีจุดอ่อนของการเข้ามาเป็นนักร้องของตัวผมเอง

คุณมีโอกาสร้องเพลงและมีชื่อเสียงได้อย่างไร
น้าแดง ฉันทนา กิติยพันธ์ ลุงอ๊อด ศรายุทธ สุปัญโญ นักดนตรีผู้เก่งกาจเหล่านี้มีบุญคุณ มีพระคุณกับผมมาก ในฐานะเป็นผู้ผลักดันให้เราได้มีโอกาสนำเสนอบทเพลงต่างๆ เปิดโอกาสให้เราได้เล่นดนตรี

“สมัยก่อนเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะไปหาครูร้องเพลงไม่มี นอกจากจะไปปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ของนักร้องท่านใดท่านหนึ่ง อันนั้นก็อาจจะพอเป็นไปได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นต้องหาเองอยู่ดี”

คนฟังเพลงสมัยก่อนไม่ค่อยชินกับภาพนักร้องสไตล์คุณที่ออกมาเต้นแรงเต้นกา อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณจะใช้ภาพนั้นเป็นจุดขาย
เพราะผมเติบโตมากับสองสิ่ง สิ่งแรกคือดนตรี สิ่งที่สองคือศิลปะซึ่งผมเรียนมา เพราะฉะนั้นมุมมองต่างๆ ของตัวผมจะฉายผ่านออกมาจากสองสิ่งนี้ จากนั้นก็มีการเปลี่ยนมุมมอง จนกระทั่งมาเรียนในหลายๆ ด้านก็ทำให้มุมมองเรากว้างขึ้น แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นในบทเพลงต่างๆ ที่มีอยู่มันก็แสดงภาพลักษณ์ของตัวมันเองได้ อย่างเช่นเพลงช่วยด้วย เพลงอยากกินหัว หรือเพลงนายแน่มาก ก็จะมีความแตกต่างโดดเด่นไปคนละแบบกับเพลงออกมาเต้น เพลงรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ในส่วนของการออกแบบเสียงร้องในยุคนั้นก็ไม่มีครูเพลงมาสอน ต้องคิดค้นสไตล์เอง เสื้อผ้า หน้าผมก็จำเป็นที่เราต้องสร้างเอกลักษณ์ด้วยตัวเอง

คุณมีความสามารถทั้งทางด้านดนตรีและศิลปะ ความสุขที่ได้รับมันแตกต่างกันอย่างไร
ทั้งสองด้านถือเป็นงานศิลปะที่ให้ความสุขไม่แตกต่างกัน แต่ศาสตร์ของมันต่างกัน ดนตรีต้องนำเสนอความเป็นตัวของตัวเองในแสงไฟ สื่อต่างๆ ที่เป็นสื่อเพลง แถบเสียงต่างๆ แต่ในโลกของงานอาร์ตหรือศิลปะก็มีรูปแบบอีกแบบหนึ่งคือความนิ่งขรึม ลึกล้ำในแนวคิด ซึ่งแตกต่างจากเพลงเป็นอย่างมาก ถ้าจะถามว่าแต่งเพลงออกมาแล้วให้คนคิดมากคิดลึกก็อาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องนัก แต่ถ้างานศิลปะยิ่งลึกมันก็ยิ่งสร้างให้คนสนใจมากขึ้น

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าถ้าขอพรได้ คุณอยากรวยเป็นหมื่นๆ ล้าน แล้วเอาเงินไปช่วยเหลือคน ทำไมคุณคิดจะเอาเงินไปช่วยคนอื่น
ทุกวันนี้ผมก็ทำอยู่แล้ว ถ้าเรามีเงินไม่เยอะก็ทำอะไรได้น้อย แต่ถ้าเรามีเงินเยอะเราสามารถช่วยคนได้เยอะ จริงๆ ผมอยากทำมูลนิธิเพื่อเด็กโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน “ผมรักเด็กๆ ครับ ผมอยู่กับเด็ก ผมมีความสุขครับ” ผมทำงานให้กับเด็กๆ กับหม่อมราชวงศ์สุพินดา จักรพันธุ์ มาตลอดเกือบ 20 ปี ทำงานเกี่ยวกับเด็กพิการอะไรก็มี ซึ่งอาจจะเป็นฉากหลังที่หลายคนไม่เคยได้เห็น “ตั้งแต่ 10 ขวบ ผมปวารณาตัวเองว่าจะเป็นคนที่มอบความรักให้กับทุกคน” อันนี้ไม่ได้เพิ่งพูดนะครับ พูดมานานแล้ว ผมไม่อยากปฏิเสธใคร มีความจริงใจต่อสังคม ต่อผู้คน ถ้าสมมุติขอได้ก็อยากทำตามความฝันของเราให้เป็นจริง

สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการอยู่ในวงการดนตรีตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาคืออะไร
คนทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นคนดีได้ คนทุกคนมีสิทธิเป็นคนเลวได้ และสังคมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนอยู่ทั่วไป ขอให้เราเลือกอยู่ในสิ่งที่ดี ผมเคยพูดกับตัวเองเสมอว่า ลมหายใจที่เหลืออยู่ขอทำแต่สิ่งที่ดี

คุณต้องมาเป็นโค้ชในรายการเดอะวอยซ์คิดส์ไทยแลนด์ คุณกังวลหรือเปล่าว่าเด็กๆ จะไม่รู้จักคุณ แล้วคุณจะโน้มน้าวให้เขาเลือกคุณได้อย่างไร
สาบานได้เลยว่าเด็กๆ รู้จักผม ผมเป็นคนๆ หนึ่งที่อยู่ในสังคมของดนตรี บันเทิงได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนแก่ ผมทำรายการทีวีเด็กมา 20 ปี เพราะฉะนั้นเด็กๆ รู้จักผมค่อนข้างเยอะ

สิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดและต้องการให้เด็กๆ ใช้เป็นอาวุธติดตัวเพื่อเป็นนักร้องที่ดีคืออะไร
อยากจะให้เขาเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาเพิ่มเติม และเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป

คุณวางแผนชีวิตหลังเกษียณไว้อย่างไรบ้าง
ผมอยากจะทำงานศิลปะให้มากขึ้น อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น คงจะคล้ายกับหลายๆ คนที่อยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบและทำงานศิลปะอย่างยิ่งใหญ่

แม้ชีวิตจะผ่านชื่อเสียง เงินทอง จนทำให้เขาได้รับและมีพร้อมทุกอย่าง แต่กับสิ่งที่เขาเคยปักหมุดไว้ว่าอยากจะมอบความรักให้กับทุกคนทั้งๆ ที่ตอนนั้นตัวเองมีอายุแค่เพียง 10 ขวบ กลับไม่เคยเปลี่ยน สมแล้วที่เราอยากจะขอเรียกเขาว่า “มนุษย์ค้างคาวที่ยังรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook