ชีวิตที่เขียนเองของ “ฌอห์ณ จินดาโชติ”

ชีวิตที่เขียนเองของ “ฌอห์ณ จินดาโชติ”

ชีวิตที่เขียนเองของ “ฌอห์ณ จินดาโชติ”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าคุณเป็นคนดูหนังดูละครอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้ “ฌอห์ณ จินดาโชติ” คงผ่านสายตาคุณมาแล้วในหลายบทบาท โดยเฉพาะบทพระเอกมาดขรึมจากละครเล่ห์รตี ที่โด่งดังจนทำให้เขาได้รับฉายา “สามีแห่งชาติ” ติดตัวเรื่อยมาหลังละครลาจอไป

หรือหากคุณไม่ใช่คอละคร แต่คุณเป็นมนุษย์รักการอ่าน คุณอาจได้รู้จักตัวตนของผู้ชาย Feel Good คนนี้ผ่านงานเขียนของเขาทั้งจากโลกโซเชียลไปจนถึงแผ่นกระดาษทีละแผ่นที่คุณพลิกอ่าน ฌอห์ณ ไม่ใช่นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ เขาอยู่ในวงการบันเทิงมานาน แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้จักตัวตนของเขามากนัก Sanook! Men ขอทำหน้าที่เปิดชีวิต ความคิด และมุมมองต่อเรื่องราวต่างๆ ที่ในด้านหนึ่งน่าจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครก็ตามที่ชื่นชอบและติดตามผลงานของเขามาโดยตลอด

วัยเด็กคุณพ่อคุณแม่ของคุณเลี้ยงดูคุณมาแบบไหน
ผมเคยอยู่ที่อเมริกา คุณพ่อกับคุณแม่ไปเรียนต่อและทำงานที่นั่น แต่คนที่เลี้ยงดูผมจะเป็นคุณพลอยพี่สาวครับ หลังจากนั้นหลายปีก็กลับมาอยู่ที่เมืองไทย คนที่เลี้ยงดูผมเป็นหลักก็คือคุณพลอยกับคุณแม่ เลี้ยงดูแบบฝรั่ง ให้อิสระ ให้กล้าแสดงออก แต่ในเรื่องวินัยก็ยังคงความเป็นไทยอยู่ ที่บ้านเราก็ไม่ได้สุขสบายขนาดนั้นแต่ก็ค่อนข้างจะโอเค ผมก็จะซึมซับการเลี้ยงดูแบบผู้หญิงมาค่อนข้างเยอะ

ทราบว่าคุณแม่มีวิธีการเลี้ยงดูลูกแตกต่างจากคุณแม่ท่านอื่น
วิธีการ 30,000 บาทครับคือการส่งลูกไปอยู่เมืองนอกแล้วให้กลับมายังไงก็ได้ให้ได้เงินมากกว่าเดิม นั่นคือช่วงซัมเมอร์ที่เราต้องไปทำงานคนเดียวตอนอายุ 12-13 ปี ไปหางานพาร์ทไทม์ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวแต่หงุดหงิดมากกว่า ตอนแรกคิดว่าจะได้ไปเที่ยว พอไปอยู่ที่โน่นเริ่มอึดอัดเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เพราะแม่ก็น่าจะส่งเสียเราได้อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วแม่อยากให้เรารู้ว่าการที่เราจะเป็นนายคนต้องหัดทำงานข้างล่างก่อน พอเราทำงานข้างล่างแล้วเราจะรู้คุณค่าของมัน ก็เลยเริ่มเข้าใจชีวิต ตั้งแต่ขัดห้องน้ำ เด็กเสิร์ฟ เด็กแจกใบปลิว เด็กสวนสนุก เด็กตกกุ้ง ฯลฯ ผมจะไปช่วงปิดเทอมประมาณปีละ 3 เดือนครับ

คุณสนิทกับพี่สาว (พลอย ก้องธรนินท์) มาก คุณได้เรียนรู้อะไรจากพี่สาวคุณบ้าง และเขาสอนอะไรคุณเป็นพิเศษ
เหตุผลที่สนิทเพราะเขาเป็นคนเลี้ยงผมมาคล้ายกับคุณแม่คนที่สอง และวัยของเราห่างกัน 6 ปี คุณพลอยเป็นต้นแบบของผมทั้งด้านความคิดและการกระทำ เขาไม่เคยบังคับผมเลยว่าผมควรจะต้องทำอะไร เขาบอกว่าผิดชอบชั่วดีอยู่ที่ระบบความคิดและจิตใจ ถ้าใจเรารู้ว่าถูก สมองมันไม่สั่งก็ทำไม่ได้ ต่อให้สมองเรามีคนบอกว่าดีนะแต่เราไม่คิดแบบนั้นกายก็ไม่อยากทำ เขาสอนว่าให้ทำตามความรู้สึกที่คิดว่าถูกต้องและดี ทำที่มันมั่นใจว่ามันถูกต้อง คุณพลอยจะเป็นเหมือนพ่อ แม่ เพื่อน เหมือนแฟนคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักความรัก รู้จักว่าการเป็นผู้ชายที่ดีต้องทำยังไง เพราะผมได้เห็นผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตของพี่ผมตลอด เขาก็มีทั้งเสียใจและมีความสุข เราก็เลยรู้ว่าทำไมเขาถึงรักกัน อยู่ด้วยกันได้

ตอนเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงแรกๆ คนอื่นอาจมองว่าสวยหรู สำหรับคุณรู้สึกอย่างไร
ไม่ได้รู้สึกเป็น Positive แต่ก็ไม่ได้ลบมาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละตอนมันลำบากขนาดนี้เลยเหรอ ละครออนแอร์วันหนึ่งก็ปาไปตอนสองตอน ตอนหนึ่งมีทั้ง 30-40 ฉาก ฉากหนึ่งกว่าจะได้เป็นชั่วโมง ไปตั้งแต่เช้ายันดึก เข้าฉาก โห! มันยากมากเลย เราก็เลยรู้สึกว่างานบันเทิงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ความสวยงามที่คุณเห็นมันแลกด้วยหยาดเหงื่อของทุกคน ไม่ได้มองเป็นลบ แต่ไม่ได้บวกซะจนสวยงาม

คุณเคยบวชเรียนมาแล้ว คุณได้อะไรจากการบวช
ผมบวชตอนอายุ 25 ผมทำงานมาค่อนข้างหนักครับ ละครผมค่อนข้างจะประสบผลสำเร็จ มีอีเว้นท์ตลอด เรทติ้งดีเลย งานติดต่อมาเยอะ แล้วผมรู้สึกว่าอยู่ดีๆ ผมกลับบ้านมาผมเหนื่อย รู้สึกว่ามันไม่ใช่แก่นสารที่ผมอยากได้ ทำไมคุณแม่ผมดูไม่ค่อยมีความสุขอย่างที่ควรจะต้องได้ คิดไปคิดมาว่าเรายังลืมสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่ได้ทำ ผมนึกขึ้นได้ว่าการบวชคือแกนหลักของชีวิตลูกผู้ชาย ผมเลยเดินเข้าไปขอลาบวช ตั้งใจว่าอยากอยู่นานๆ ตอนนั้นบวชอยู่นานถึง 2 เดือน สิ่งที่ผมได้ในการบวชคือการให้ เพราะเราเป็นพระที่ต้องเป็นผู้ให้ ใครขออะไรเราให้หมด ทำทุกอย่างให้ชาวบ้าน และเข้าใจเรื่องของครอบครัวมากขึ้น ตอนเรามีคุณพ่อคุณแม่ที่จับต้องได้เราก็มักจะเพิกเฉย เพราะเรารู้สึกว่าพรุ่งนี้ก็ยังมีอีก เป็นเหมือนวัตถุของตายที่ไม่มีวันเคลื่อนที่ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ แกเคลื่อนที่ลง เราเคลื่อนที่ขึ้น เหมือนแกแก่ลงทุกวัน เราก็โตขึ้นทุกวัน มันก็เหมือนสวนทางกัน ผมก็เลยรู้สึกว่าตอนนั้นผมไม่ได้ดูแลแกอย่างที่แกต้องการ เลยรู้ว่าเรามีเวลาน้อยแล้วต้องรีบทำ แต่ก่อนได้เงินมาก็คิดก่อนว่าเราจะซื้ออะไรให้ตัวเองส่วนที่เหลือก็แบ่งให้แม่ เลยมาคิดได้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องได้ของที่ดีก่อน ก่อนที่เราควรจะได้ เพราะเขาก็เอาของที่ดีที่สุดให้กับเราตั้งแต่เราอยู่ในท้องเขาแล้ว เลยมาคิดใหม่ครับ (ยิ้ม)

บทบาทที่สร้างชื่อในละคร “เล่ห์รตี” ทำให้มีชื่อเสียงในเวลาอันรวดเร็ว คุณมีวิธีการรับมืออย่างไร
ผมเป็นคนไม่ค่อยไปเสพกับเสียงคำชมกับคนข้างนอกว่าเขาว่าอะไรกันในช่วงนั้น คุณแม่ผมก็จะบอกว่าคนที่เพิ่งมารู้จักเราผ่านคุณเสกข์ สุทธกานต์ ในละคร ไม่ใช่ ฌอห์ณ จินดาโชติ ฉะนั้นอย่าเพิ่งตกใจ ผมก็จะอยู่กับคนใกล้ตัวเยอะ พี่พลอยก็บอกอย่าดีใจกับสิ่งที่มันเพิ่งเกิด ความจริงในสิ่งที่มันจะเกิดบางครั้งเขาอาจจะรับในตัวตนของฌอห์ณไม่ได้ก็ได้ ฉะนั้นต้องพิสูจน์ว่าคนจะรักเราต้องรักที่ตัวตน รักที่ฝีมือไม่ใช่รักที่ตัวละครของเราอย่างเดียว ก็เลยรู้สึกว่าเหมือนถูกตบเตือนสติอยู่ทุกวัน

คิดว่าชื่อเสียงที่เราได้มาเพราะความสามารถในการแสดงหรือเพราะสาเหตุใด
มันมี 2 อย่างผสมกันครับ การแสดงคือส่วนหนึ่ง ถ้าผมเล่นละครไม่ดี คุณเสกข์ สุทธกานต์ ก็คงไม่มา หลังๆ ก็จะกลายเป็นว่าผมไปดึงน้องเอสเธอร์ลงมาอีกคน ผมว่าด้วยจังหวะที่มันถูกต้องถูกเวลา บทมันเหมาะสมก็เลยถูกจริตคนดู ผู้บริโภคก็ชอบใจ แต่สิ่งหนึ่งที่มันช่วยคือสิ่งที่ผมเป็น สิ่งที่ผมทำ และสิ่งที่ผมชอบ การเป็นนักเขียนด้วยวัยเพียงเท่านี้ แล้วผมก็นำเสนอในทิศทางที่ผมเป็น คำสอนพร้อมกับสิ่งที่ผมทำในขั้นต้น เขาก็เลยรู้สึกว่าตัวตนเด็กคนนี้ไม่ได้เข้าถึงยากนะไม่ได้ติสท์แตก แต่เขาแค่ชื่นชอบในสิ่งที่ผมเป็น ผสมกับความชื่นชอบในตัวละคร

มีวิธีการทำงานอย่างไรให้เข้าถึงบทบาทในตัวละคร
เวลาผมรับละครมาผมจะพยายามอ่านให้จบทั้งเรื่อง พยายามไม่ดูงานเก่าที่คนอื่นเคยสวมบทบาทไว้ เพราะว่าแต่ละคนเขาก็เล่นของเขาไว้ดี ไม่งั้นเราจะมีภาพในหัว เราก็จะนึกว่าเราเป็นแบบเขา เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เราตีความออกมาในมุมของเรา และไปคุยกับผู้กำกับว่าตัวละครนี้ผมคิดแบบนี้ พี่คิดยังไงให้ถูกต้องเพราะว่าสุดท้ายแล้ว ที่เขาเลือกให้เรามาเล่น เพราะเรามีส่วนหนึ่งคล้ายกับตัวละครที่มันถูกจริตกัน ฉะนั้นเขาคงมองว่าเรามีบางส่วนที่เหมาะกับบทนั้นอยู่แล้ว ในความคิดของผม ผมก็เลยทำการบ้านครึ่งทางและอีกส่วนหนึ่งให้ผู้กำกับเป็นคนสอนจะได้ออกมาดี

คุณได้รับฉายาว่าเป็น “ สามีแห่งชาติ ” ส่วนตัวคุณรู้สึกอย่างไรกับฉายานี้
คุณแม่ผมก็ตกใจนิดนึง (ยิ้ม) เดินไปห้างจะมีคนเรียกสามี แม่สามีบ้าง แม่ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องตลก ผมก็มองว่ามันเป็นเหมือนรางวัลที่มาจากคุณเสกข์ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ดี เขารักแม่ รักน้อง เขารักภรรยาเขาอย่างชัดเจน และเขาก็สู้เพื่อภรรยา มีเสน่ห์เป็นพระเอกละครไทยแบบที่ทุกคนชอบ พูดมากคือตบจูบ พูดมากปล้ำ (หัวเราะ) และด้วยอาจจะเป็นเพราะหลังจากนั้นคนเริ่มมารู้จักตัวตนครอบครัวจินดาโชติของผมมากขึ้น เขาก็เลยอาจจะชอบแบบนี้ ชอบทางความคิด ตัวตนของผมแบบนี้ เขาก็เลยมีฉายาให้

สำหรับคุณการมีชื่อเสียงเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า
ผมว่าทุกอย่างมันคือดาบสองคมเสมอ ไม่มีอะไรดีที่สุดและไม่มีอะไรแย่ที่สุด ข้อดีคือเหมือนคนรู้จักเราแล้ว ความช่วยเหลือมันง่าย คนไม่ต้องตามหาเรา เราจะรู้ว่าตัวตนผมเป็นยังไง ผมเหมาะกับสีอะไร งานชัดเจน ละครแบบนี้น่าจะเหมาะ บทแบบนี้น่าจะเหมาะ ไม่ต้องลองมาแคสก่อน ผมว่ามันเห็นภาพชัดเจน แต่ข้อเสียคือคนรอบข้างเรา ตัวเรา พื้นที่บางอย่างอาจจะสูญเสียไป มีพื้นที่ของสาธารณะมากขึ้น คนก็จะมารู้จักเพื่อนผมแล้วเวลาผมแท็กในโซเชียล คนก็จะรู้จักว่าคนนี้ชื่ออะไร ซึ่งเพื่อนเราอาจจะไม่ชอบที่คนมารู้จัก หรือไปไหนเราจะต้องมีเวลาเผื่อให้กับกลุ่มฐานแฟนคลับ ซึ่งมันเหมือนดาบสองคมครับ

หลังจากที่มีชื่อเสียงแล้ว คุณใช้ชีวิตต่างจากเดิมเยอะไหม
ค่อนข้างมากครับผมทำงานเกือบทุกวัน บ้านของผมเป็นเพียงที่อาบน้ำกับที่นอน มันไม่ได้มีเวลามานั่งเฉื่อยแฉะเหมือนเมื่อก่อน หรือว่าไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรเยอะ ตอนนี้ทุกอย่างคือการวางแผนทำตามแผน วันนี้ทำอะไร ตื่นมาทำอะไร ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ ช่วงนี้คนรอบข้างเข้าใจ ครอบครัวเข้าใจ เพราะออกไปทำขนาดนี้คนที่สบายที่สุดที่อยู่ข้างหลังคือไม่ต้องห่วงออกไปยังไงก็ดีแน่นอน

ทำไมถึงเลือกที่จะเป็นนักแสดงอิสระแทนการมีสังกัดค่ายใดค่ายหนึ่ง
ผมก็อยู่แบบมีสังกัดมาก่อนครับ เห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ตัวเรายังไม่เคยอยู่แบบอิสระมาก่อนก็เลยคิดว่าตอนนี้ช่วงชีวิตเราโตละ ตอนนี้อายุ 26-27 แล้ว รู้แล้วว่าทำงานยังไงให้ดี และรู้สึกว่าช่องทางในการทำงานก็มีวิ่งเข้ามาหาเราระดับหนึ่ง เราน่าจะ Manage เองได้ แล้วก็มีเพื่อนๆ ทีมงานที่ช่วยดูแลและให้คำปรึกษา เลยคิดว่ามันไม่น่าจะยากเกินไป รวมทั้งผมยังมีครอบครัวและคุณพลอยที่ให้คำปรึกษาได้

คุณมีความสามารถด้านงานเขียนด้วย เพราะสาเหตุใดจึงชอบเขียนหนังสือ
ผมเป็นนักอ่านมาก่อน เวลาไปร้านหนังสือ อ่านหนังสือได้ทุกแบบ ขอให้มันเป็นหนังสือ อ่านจนจบแล้วก็จะมีการรีวิวของตัวเราเองว่าเราได้อะไร มันก็คงเหมือนคนที่อยู่ในกองถ่าย วันหนึ่งเขาก็คงฝันว่าเขาอยากเป็นผู้กำกับ ผมก็เหมือนกันที่เป็นนักอ่าน ผมก็มีฝันว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นนักเขียน ผมก็เลยจับต้นชนปลายและฝึกที่จะเขียนจากกระดาษมาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เริ่มผันตัวมาเขียนคอลัมน์ต่างๆ และก็เริ่มทำหนังสือ

ชอบเขียนงานสไตล์ไหน
ผมว่ามันเป็น feel good อ่ะครับ มันเป็นโทนสีฟ้าก็คือผมไม่อยากเอาเรื่องแย่มาให้คนอ่าน เพราะทุกวันเขาก็เจอเรื่องแย่ แต่หนังสือของผมคือผมเขียนความจริง จะบวกจะลบอยู่ที่ทัศนะคติของผู้อ่านแต่ในนั้นมันมี Solution คำถามปลายเปิดให้คุณไปคิดว่าคุณจะเลือกแบบไหน คุณเลือกบวกคุณก็ขึ้นไป คุณเลือกลบคุณก็อยู่ที่เดิมเท่านั้นเอง

การเขียนให้อะไรกับชีวิตของฌอห์ณบ้าง
ทำให้ผมมีจุดยืนในสังคมที่ค่อนข้างจะชัดเจน ผมไม่ค่อยเจอเยอะนะครับนักแสดงที่รักในงานเขียน และมีน้อยมาก มันจึงทำให้ผมชัดเจนมากว่าผมคือใคร ผมไม่ใช่เป็นนักแสดงอย่างเดียวแล้ว แต่ผมชอบหนังสือ มันเลยเหมือนเป็น Rare item ของผมคือ ปากกา สมุด หนังสือ เป็นอะไรที่คนเห็นและจะนึกได้เลย ซึ่งมันทำให้ภาพของผมชัดเจน ผมรู้สึกมีจุดยืนที่สังคมยอมรับ

ในงานเขียน คนอาจมองว่าคุณเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง จริงๆ แล้วคุณเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
ชีวิตของผมจะเป็นวงกลมนะ แกนหลักของผมคือจะมีแค่ครอบครัวหรือคนรักของผมที่จะเข้าไปถึง แต่ผมไม่ได้ติด Section อื่นนะ ถ้าผมเปิดให้ทุกคนทั้งชีวิตเข้ามาผมก็คงดูแลไม่ไหว คนเรามันเหมือนเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีหลายห้อง คุณเข้าห้องรับแขกได้นะแต่คุณเข้าห้องนอนไม่ได้ เข้าห้องน้ำส่วนกลางได้นะแต่อย่าเข้าห้องน้ำส่วนตัว ผมก็เป็นเหมือนกัน ทุกคนเข้ามาในพื้นที่ชีวิตผมได้นะ แต่ผมจะเป็นคนเลือกเองว่าคุณจะเข้าได้ขนาดไหน ไม่งั้นมันจะไม่มีคำว่าคนพิเศษเกิดขึ้นเลย ไม่งั้นเขาก็จะบอกว่า อุ๊ย! พี่ฌอห์ณน่ะ รักแม่มากกว่าหนูเหรอ ใช่!พี่รักแม่มากกว่าหนู ไม่งั้นถ้าพี่รักทุกคนเท่ากันแล้ว แม่พี่จะมีความสำคัญยังไง

ทุกวันนี้เหมือนคุณเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว รู้สึกว่ามันเป็นภาระที่หนักเกินไปไหม
ไม่เคยคิดเลยครับเพราะว่าผมจะเปรียบเทียบตัวเองกับพี่สาวตลอด ตอนสมัยเขาอายุเท่าผมเขาต้องรับผิดชอบทั้งผมและคุณแม่ เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว โอกาสทางสังคมยังไม่เยอะขนาดนี้ คุณแม่ผมก็เลี้ยงผมมาตั้งแต่ตอนที่อยู่เมืองนอกลำพังด้วยตัวของเขาเองกับเด็กสองคน ผมว่าอันนั้นลำบากสุด เราทำงานแป๊บ ๆ เราได้จำนวนเงินเยอะแล้ว ถ่ายหนังเรื่องหนึ่งก็ได้เงินเยอะแล้ว ไม่รู้สึกว่าหนัก ไม่รู้สึกว่าแย่ครับ

มองอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง
ผมมองเป็นเทอมๆ นะครับ ในปี 59 หรือ 60 ก่อนอายุ 30 ผมอยากพัฒนาด้านการแสดงของผมให้มากขึ้น อย่างที่ผมเคยบอกแม่ว่า ผมอยากให้เวลาที่ผมเดินไปไหน คนชี้ว่าไอ้นี่มันเก่ง มันเจ๋งว่ะ ไม่ใช่ว่าไอ้นี่มันหล่อ มันเท่เพราะผมคิดว่าของแบบนี้อยู่ไม่นาน แฟชั่นก็เหมือนกัน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ของคุณภาพมักจะอยู่ได้ตลอด อยากเดินตามแบบพี่นก สินจัย พี่นก ฉัตรชัย พี่ชาคริต เขาเจ๋ง เขาเก่ง เราอยากเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้กำกับดีๆ กับเพื่อนที่ร่วมแสดง และก็ยังอยากที่จะเป็นนักเขียนงานสัปดาห์หนังสือในทุกๆ ปี

ในอนาคตที่ฌอห์ณไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว อยากให้คนจดจำเราในลักษณะไหน
อยากให้คนจำว่าไอ้เด็กหน้าแก่คนหนึ่ง ครั้งหนึ่งเขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ ในหน้าที่ๆ เขารับผิดชอบ และเขาก็โชคดีที่เขาทำความฝันสำเร็จคือการเป็นนักเขียน เขาย่อส่วนทั้งสองทางที่ทำให้คนละศาสตร์รวมเข้าด้วยกันให้มันอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่ประเทศไทยของเราอ่านหนังสือกันน้อยลงเรื่อยๆ หันมาหยิบหนังสือ จะหยิบมาอ่านจริงหรือไม่จริงแต่เขาก็กล้าที่จะเข้าไปงานหนังสือ เข้าไปในร้านหนังสือ เขาทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าการแสดงมันไม่ได้เป็นความเท่ มันคืองานศิลปะชนิดหนึ่งที่มันต้องทำการบ้าน อยากให้เขามองว่ามันเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของคนรุ่นใหม่ กล้าคิดกล้าทำอะไรที่มันชัดเจนขึ้น

คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาในวงการบันเทิงและอยากมีชื่อเสียงแบบคุณ
ผมว่าการอยากเป็นนักแสดงไม่ใช่เรื่องยาก โอกาสทางสังคมสมัยนี้ง่าย มีเวทีประกวดเยอะ การเฟ้นหานักแสดงรุ่นใหม่มีเยอะ แต่สิ่งที่สำคัญและหายากในปัจจุบันคือระบบทางความคิดที่บอกว่าคุณอยากมาเป็นดวงดาว อยากมีความสำเร็จ อยากโด่งดัง อยากหาเงินทองเป็นก้อน ผมบอกได้เลยว่ากลับบ้านเถอะ อย่าออกมาเลย มันลำบาก ถ้าเราคิดว่าเรามองถึงเป้าหมายและผลตอบรับอย่างเดียว ไม่มองถึงขั้นตอนตามทางเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะต้องมาหลงใหล เพราะอาชีพนี้มันมีปัจจัยประกอบ ฝีมือ ดวง ผู้ใหญ่ และจังหวะที่เหมาะสม 4 องค์ประกอบนี้จะทำให้เราประสบผลสำเร็จ

แต่ถ้าคุณคิดว่าไปประกวดเวทีนี้เดี๋ยวดัง ดังแล้วจะได้เงิน ไม่ใช่ แต่ถ้าคุณมีเป้าหมายในชีวิตว่าคุณไปเพราะต้องการทำอะไรเพื่อใครบางคน อยากให้ครอบครัวดีขึ้น เดี๋ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือองค์ประกอบจะจัดอะไรบางอย่างให้คุณเอง ฉะนั้นอย่าโหยหาความดังครับ ให้โหยหาความสำเร็จที่ลงมือทำมากกว่า อย่ามองแต่ผลตอบรับ โดยไม่มองการจะได้มาด้วยการแลก ด้วยการกระทำ ผมอยากให้เด็กรุ่นใหม่มองว่าความดังมันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่งั้นทุกคนก็คงเป็นแบบณเดชน์ กันหมดแล้ว อยากให้มองว่าไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นแบบณเดชน์หรือเปล่า เราก็เป็นแบบที่ตัวเราเป็นไปให้ดีที่สุดครับ ให้คนในประเทศไทยเขาจำเราได้ว่ามีเด็กคนนี้เกิดขึ้นเพราะมันทำได้ดี แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ

ทันทีที่อ่านบทสัมภาษณ์จบ ทุกคนคงต่างความคิดอ่าน แล้วคุณล่ะรู้สึกว่าได้รับอะไรจากชายหนุ่มวัย 27 ปีคนนี้บ้าง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook