"วัดร่องเสือเต้น" วิหารน้ำเงินฟ้าสวยสง่า สุดศักดิ์สิทธิ์สะดุดตา!

"วัดร่องเสือเต้น" วิหารน้ำเงินฟ้าสวยสง่า สุดศักดิ์สิทธิ์สะดุดตา!

"วัดร่องเสือเต้น" วิหารน้ำเงินฟ้าสวยสง่า สุดศักดิ์สิทธิ์สะดุดตา!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วัดร่องเสือเต้น ในอดีตสถานที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของวัดร้างมาก่อน ดังจะพบเห็นเศษซากอิฐโบราณในบริเวณแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เมื่อ 80-100 ปีก่อนจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ในสมัยนั้นยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนอาศัยอยู่มากนัก สัตว์ป่าในสมัยนั้นมีมากโดยเฉพาะเสือ ที่ชอบกระโดดร่องน้ำไป ๆ มา ๆ ชาวบ้านเรียกว่า “ร่องเสือเต้น”

และกลายเป็นชื่อหมู่บ้านเรียกว่า “บ้านร่องเสือเต้น” ในปีพุทธศักราช 2537 ชาวบ้านร่องเสือเต้นทุกหลังคาเรือนได้ประชุมปรึกษาหารือกันเรื่องการบูรณะวัดร่องเสือเต้น จุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านจิตใจของชาวบ้านและเป็นที่ประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพราะชาวบ้านยังไม่มีที่ทำบุญในหมู่บ้าน ต่างไปทำบุญวัดต่างๆ อย่างกระจัดกระจาย ดังนั้นชาวบ้านจึงได้ช่วยกันพัฒนาสถานที่แห่งนี้และได้ให้ชื่อว่า “วัดร่องเสือเต้น”

ปัจจุบันมีผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาร่วมด้วยช่วยกันสร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมา วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชุมชนร่องเสือเต้น ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นพระอุโบสถใหม่ที่สร้างขึ้น ด้วยศิลปะแบบไทยประยุกต์ ที่มีศิลปะที่มีความสวยงดงามแปลกตา มีพระอุโบสถ์สีฟ้า สวยสดงดงามตา พุทธศิลป์อันล้ำค่า นำพาพุทธศาสน์มาเยือน

จากฝีมือการรังสรรค์ของ นายพุทธา กาบแก้ว หรือ สล่านก ศิลปินท้องถิ่นชาวเชียงราย ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และเคยเข้าไปทำงานที่วัดร่องขุ่น เป็นศิลปะประยุกต์ที่ เป็นเอกลักษณ์ใช้เฉดสีเป็นสีน้ำเงินฟ้าตัดกับสีทอง ลวดลายต่างๆ ที่พลิ้วไหวนั้น

ซึ่ง สล่านก ได้จากการเรียนรู้จากอาจารย์ แต่ศิลปะของ อาจารย์จะใช้โทนสีขาว และมีการใช้กระจก แต่ของสล่านกดัดแปลงมาเป็นการใช้สีน้ำเงินฟ้าแทนเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะประติมากรรมบันไดพญานาคที่ใช้เฉดสีเดียวกันนั้นมีความชดช้อยและลวดลายแตกต่างจากประติมากรรมทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ได้นำเอารูปแบบผลงานของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ.2544 ผู้สร้างบ้านดำ จ.เชียงราย ที่มีความโดดเด่นเรื่อง เขาและงามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะช่วงเขี้ยวของพญานาคมีความพลิ้วไหว อ่อนช้อย  สีน้ำเงินฟ้า แสดงถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ขจรขจายทั่วโลก ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่เป็นความจริงตามเหตุและผลเปรียบเสมือนดังท้องฟ้าที่สดใส เป็นศิลปะแนวพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่แฝงด้วยหลักธรรมคำสอนของพุทธองค์

โดยพระวิหารแห่งนี้ให้นิยามว่าเป็นทิพยสถาน คือ เป็นการสรรเสริญพระพุทธเจ้าทั้งในรูปแบบของประติมากรรมและจิตรกรรม เมื่อคนเข้าไปมีจิตใจดีก็จะรักษาศีลก่อให้เกิดสมาธิ และปัญญาตามมา โดยชาวต่างชาติและชาวไทยจะขนานนามว่า "Blue Temple" 

มีพระประธานสีขาว สูง 6.50 เมตร หน้าตักกว้าง 5 เมตร ที่งดงามชื่อว่า “พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ" พระประธาน สีขาวมุก โดยมีพระรอดลำพูน จำนวน 88,000 องค์ และแก้วแหวนเงินทองหลายสิ่งถูกฝังอยู่ ใต้พระพุทธรูปองค์นี้ รวมทั้งบริเวณพระเศียรก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก รวมทั้งยังได้รับพระราชทานนามพระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ ที่หมายความว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นมงคล เจ้าในความเป็นราชา เป็นที่พึ่งในสามโลก”

นอกจากนั้นด้านหลังวิหารมีพระพุทธรูปสีขาวปาง ห้ามญาติ องค์ใหญ่ ประดิษฐานตรงด้านหลัง ถัดไปคือ "พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีห้าพระองค์" มีความสูง 20 เมตร โดยยอดขององค์พระธาตุ ได้บรรจุพระบรมสาริกธาตุ จากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงฆปรินายก สุดศักดิ์สิทธิ์และตอนนี้เป็นที่วัดดัง และมาแรงอีกวัดหนึ่งของจังหวัดเชียงราย

และเพื่อเป็นการชักนำให้ชาวพุทธหัดกลับมาเข้าวัด และศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และผู้ที่ต้องการศึกษาเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร สิ่งนั้นคือ อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ และมรรค 8 คือหนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์นั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook