เจลาติน คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

เจลาติน คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

เจลาติน คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายคนอาจเคยเห็นคำว่า เจลาติน ในฉลากขนมหรืออาหารเสริม หรือเห็นคนนำเจลาติน ผสมน้ำผึ้งทานตามโซเชียลมีเดีย แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว เจลาติน คืออะไร มาจากไหน และมีประโยชน์อะไรบ้าง รวมถึงแตกต่างจากผงวุ้นอย่างไร บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจชัดเจน

เจลาติน คืออะไร

เจลาติน (Gelatin) คือ โปรตีนที่ได้จากการสกัดคอลลาเจนในกระดูก หนัง หรือเอ็นของสัตว์ เช่น วัวหรือหมู มีลักษณะโปร่งใส ไม่มีกลิ่น ใช้เป็นสารทำให้เกิดเจลในอาหารและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เยลลี่ มาร์ชแมลโลว์ หรืออาหารเสริมคอลลาเจน

ประโยชน์ของเจลาติน

  1. บำรุงข้อและกระดูก เจลาตินเป็นแหล่งของกรดอะมิโน เช่น ไกลซีนและโพรลีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนในข้อต่อ ช่วยลดอาการปวดหรือเสื่อมของข้อในระยะยาว

  2. เสริมสุขภาพผิว ผม เล็บ โปรตีนจากเจลาตินช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผมแข็งแรง และเล็บไม่เปราะง่าย โดยเฉพาะเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามิน C

  3. ช่วยในการย่อยอาหาร กรดอะมิโนในเจลาตินมีส่วนช่วยเคลือบและปกป้องเยื่อบุในกระเพาะอาหาร ลดการระคายเคือง และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

  4. ช่วยให้อิ่มนาน ควบคุมน้ำหนัก เจลาตินมีโปรตีนสูง และไม่มีไขมัน ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมอาหารหรืออยู่ในช่วงลดน้ำหนัก

เจลาตินต่างจากผงวุ้นอย่างไร

  • แหล่งที่มา เจลาตินทำจากสัตว์ ส่วนผงวุ้น (Agar) สกัดจากสาหร่ายแดง เหมาะสำหรับผู้ที่กินมังสวิรัติหรือวีแกน

  • เนื้อสัมผัส เจลาติน จะได้เนื้อสัมผัสนุ่มเด้งละมุนลิ้น ขณะที่ผงวุ้นให้เนื้อสัมผัสแข็งแน่นกว่า และแตกหักง่าย

  • การใช้งาน เจลาติน ต้องละลายในน้ำอุ่นและเซตตัวในตู้เย็น ส่วนผงวุ้นต้องต้มให้เดือดจึงละลาย และสามารถเซตตัวได้แม้อุณหภูมิห้อง

  • คุณสมบัติทางโภชนาการ เจลาติน ให้โปรตีน ส่วนผงวุ้นให้ไฟเบอร์ ไม่มีโปรตีน

ข้อควรระวังในการบริโภคเจลาติน

  • สำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนจากสัตว์ หรือมีข้อจำกัดด้านศาสนา ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของเจลาตินก่อนบริโภค

  • ไม่ควรบริโภคเกินปริมาณที่แนะนำต่อวัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือแน่นท้องในบางราย

เจลาติน เหมาะกับใคร และควรเลือกใช้อย่างไร?

เจลาติน เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงข้อต่อ ผิวพรรณ หรือใช้ในขนมเพื่อให้เนื้อสัมผัสดี โดยควรเลือกแบบที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เช่น Halal หรือ Kosher หากมีข้อจำกัดด้านศาสนา และควรเก็บในที่แห้ง ไม่ชื้น เพื่อคงคุณภาพ

อ่านเพิ่มเติม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล